คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8399/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีนี้เหตุเกิดที่อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานีซึ่งอยู่ในเขตอำนาจของศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานีอันเป็นศาลชั้นต้น และพระราชกฤษฎีกากำหนดจำนวนและวันเปิดทำการของศาลแขวงในบางจังหวัด พ.ศ. 2500 มาตรา 18 บัญญัติว่า”ในจังหวัดสุราษฎร์ธานีให้มีศาลแขวงหนึ่งศาล มีเขตอำนาจในอำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี” ต่อมามีพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงเขตอำนาจศาลแขวงสุราษฎร์ธานีอีกหลายฉบับซึ่งได้กำหนดให้ศาลแขวงสุราษฎร์ธานีมีเขตอำนาจในอำเภออื่นนอกจากอำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี แต่ยังไม่ปรากฏว่ามีพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ศาลแขวงสุราษฎร์ธานีมีเขตอำนาจในอำเภอเกาะสมุยด้วย ดังนี้บทบัญญัติมาตรา 4แห่งพระราชบัญญัติให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด พ.ศ. 2520 มาใช้บังคับแก่คดีนี้มิได้และจะนำบทบัญญัติมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด พ.ศ. 2520มาใช้บังคับแก่คดีนี้ไม่ได้เช่นกัน เนื่องจากมาตรา 2แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวบัญญัติว่า “พระราชบัญญัติให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป เว้นแต่มาตรา 3 จะใช้บังคับสำหรับคดีที่เกิดขึ้นในท้องที่ใดเมื่อใด ให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา” สำหรับจังหวัดสุราษฎร์ธานีท้องที่ซึ่งยังมิได้มีศาลแขวงเปิดทำการและมีพระราชกฤษฎีกาให้ใช้บทบัญญัติมาตรา 3 ดังกล่าวบังคับคงมีเฉพาะท้องที่อำเภอไชยาอำเภอท่าฉางและอำเภอท่าชนะเท่านั้น จึงนำบทบัญญัติมาตรา 22 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499ที่ห้ามมิให้โจทก์อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงในคดีที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์มาใช้บังคับแก่คดีนี้ไม่ได้ เมื่อยังไม่มีพระราชกฤษฎีกาให้ใช้มาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด พ.ศ. 2520 ใช้บังคับสำหรับคดีที่เกิดขึ้นในท้องที่อำเภอเกาะสมุย ได้ และมีปัญหาว่าคดีของโจทก์นี้จะต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงหรือไม่จึงต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 193 ทวิ

ย่อยาว

คดีสามสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกัน
โจทก์ทั้งสามสำนวนฟ้องว่า จำเลยทั้งสี่ร่วมกันสั่งจ่ายเช็คเพื่อชำระหนี้เงินกู้ที่จำเลยทั้งสี่กู้ไปจากโจทก์ซึ่งเป็นหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย โดยจำเลยทั้งสี่มีเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค หรือในขณะที่ออกเช็คไม่มีเงินอยู่ในบัญชีอันจะพึงให้ใช้เงินได้ หรือให้ใช้เงินมีจำนวนสูงกว่าจำนวนเงินที่มีอยู่ในบัญชี หรือถอนเงินทั้งหมดหรือแต่บางส่วนออกจากบัญชีจนจำนวนเงินเหลือไม่เพียงพอที่จะให้ใช้เงินตามเช็คได้หรือห้ามธนาคารมิให้ใช้เงินตามเช็คโดยเจตนาทุจริต เหตุเกิดที่ตำบลอ่างทอง อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534มาตรา 4 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้องไว้พิจารณาทั้งสามสำนวน
จำเลยทั้งสี่ไม่ได้ให้การ ถือว่าให้การปฏิเสธทั้งสามสำนวน
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องทั้งสามสำนวน
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ทั้งสามสำนวน
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองทั้งสามสำนวน
โจทก์ทั้งสองฎีกาทั้งสามสำนวน
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ทั้งสองฎีกาว่า คดีนี้ไม่อยู่ภายใต้บังคับแห่งพระราชบัญญัติให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัดและจะนำพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้ไม่ได้ เห็นว่า พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499มาตรา 3 บัญญัติว่า “ในจังหวัดหนึ่งจะมีศาลแขวงกี่ศาล และมีเขตอำนาจเพียงใด ให้ประกาศโดยพระราชกฤษฎีกา การเปลี่ยนแปลงเขตอำนาจศาลให้ประกาศโดยพระราชกฤษฎีกา” พระราชกฤษฎีกากำหนดจำนวน เขตอำนาจ และวันเปิดทำการของศาลแขวงในบางจังหวัด พ.ศ. 2500 มาตรา 18 บัญญัติว่า “ในจังหวัดสุราษฎร์ธานีให้มีศาลแขวงหนึ่งศาล มีเขตอำนาจในอำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี” ต่อมามีพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงเขตอำนาจ ศาลแขวงสุราษฎร์ธานีอีกหลายฉบับ ซึ่งได้กำหนดให้ศาลแขวงสุราษฎร์ธานีมีเขตอำนาจในอำเภออื่นนอกจากอำเภอเมืองสุราษฎร์ธานีด้วย คืออำเภอกาญจนดิษฐ์ อำเภอคีรีรัฐนิคม อำเภอดอนสัก อำเภอบ้านตาขุน อำเภอบ้านนาสาร อำเภอพุนพิน อำเภอเวียงสระ อำเภอเคียนชา อำเภอพนม และอำเภอพระแสง แต่ยังไม่ปรากฏว่ามีพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ศาลแขวงสุราษฎร์ธานีมีเขตอำนาจในอำเภอเกาะสมุยแต่อย่างใด บทบัญญัติมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด พ.ศ. 2520 ที่บัญญัติว่า “ในกรณีที่ศาลจังหวัด ยอมรับคดีซึ่งอยู่ในอำนาจศาลแขวงไว้พิจารณาพิพากษา ให้นำวิธีพิจารณาความอาญาตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับสำหรับคดีดังกล่าว” จึงนำมาใช้บังคับแก่คดีนี้มิได้เนื่องจากท้องที่อำเภอเกาะสมุยมิได้อยู่ในเขตอำนาจของศาลแขวงสุราษฎร์ธานี และจะนำบทบัญญัติมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด พ.ศ. 2520ที่บัญญัติว่า “ในท้องที่ยังมิได้มีศาลแขวงเปิดทำการ ให้นำวิธีพิจารณาความอาญาตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด สำหรับคดีอาญาที่มีอัตราโทษอย่างสูงตามที่กฎหมายกำหนดไว้ให้จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”มาใช้บังคับแก่คดีนี้ไม่ได้เช่นกัน เนื่องจากมาตรา 2แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวบัญญัติว่า “พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป เว้นแต่มาตรา 3 จะใช้บังคับสำหรับคดีที่เกิดขึ้นในท้องที่ใดเมื่อใดให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา” สำหรับจังหวัดสุราษฎร์ธานีท้องที่ซึ่งยังมิได้มีศาลแขวงเปิดทำการ และมีพระราชกฤษฎีกาให้ใช้บทบัญญัติมาตรา 3 ดังกล่าวบังคับ คงมีเฉพาะท้องที่อำเภอไชยาอำเภอท่าฉาง และอำเภอท่าชนะ เท่านั้น จึงนำบทบัญญัติมาตรา 22แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงพ.ศ. 2499 มาใช้บังคับแก่คดีนี้ไม่ได้ เนื่องจากยังไม่มีพระราชกฤษฎีกาให้ใช้มาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด พ.ศ. 2520 ใช้บังคับสำหรับคดีที่เกิดขึ้นในท้องที่อำเภอเกาะสมุย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองโดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด พ.ศ. 2520 มาตรา 4 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 22 จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายดังกล่าว
แต่ที่โจทก์ทั้งสองฎีกาต่อไปว่า ที่ศาลชั้นต้นรับฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองแล้ว แสดงให้เห็นว่าคดีดังกล่าวของโจทก์ทั้งสองไม่ต้องห้ามอุทธรณ์นั้นเห็นว่า ปัญหาว่าคดีของโจทก์ทั้งสองจะต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงหรือไม่ ต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ ซึ่งบัญญัติว่า”ห้ามมิให้อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นในปัญหาข้อเท็จจริงในคดีซึ่งอัตราโทษอย่างสูงตามที่กฎหมายกำหนดไว้ให้จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ” เมื่ออัตราโทษตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ. 2534 กฎหมายกำหนดว่าผู้กระทำความผิดต้องระวางโทษปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือทั้งปรับทั้งจำ คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง จึงต้องห้ามมิให้โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามบทกฎหมายดังกล่าว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองนั้น ศาลฎีกาเห็นด้วยในผล
พิพากษายืน

Share