คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8300/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่พิพาทอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ และการรังวัดของเจ้าพนักงานที่ดินเพื่อออก น.ส.3 ก. ไม่มีการแจ้งให้เจ้าพนักงานป่าไม้ไประวางแนวเขต เมื่อนายอำเภอมีคำสั่งให้ตรวจสอบแนวเขตที่ดิน เพราะมีเหตุสงสัยว่าที่ดินที่ขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) จะอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติหรือเขตติดต่อกับเขตป่าสงวนแห่งชาติซึ่งจำเลยในฐานะเจ้าหน้าที่บริหารงานที่ดินอำเภอมีหน้าที่ต้องแจ้งให้เจ้าพนักงานป่าไม้ไประวางแนวเขตตามบันทึกข้อตกลงระหว่างกรมที่ดินกับกรมป่าไม้ว่าด้วยการพิสูจน์ที่ดินเพื่อออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์เกี่ยวกับเขตป่าไม้ พ.ศ. 2424 จำเลยไม่ได้แจ้งให้เจ้าพนักงานป่าไม้ไประวางแนวเขตแต่กลับรายงานต่อนายอำเภอที่เกิดเหตุทั้งสามแปลงไม่อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติเป็นเหตุให้นายอำเภอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) ให้แก่ ส. เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตร 157,162(4) แต่การกระทำดังกล่าวเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา 157ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามมาตรา 90

ย่อยาว

คดีทั้งสามสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้พิจารณาและพิพากษารวมกัน
โจทก์ทั้งสามสำนวนฟ้องมีใจความว่า จำเลยดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่บริหารงานที่ดินอำเภอกันตัง จังหวัดตรัง เป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายมีหน้าที่ตรวจพิสูจน์ที่ดินเพื่อออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) ให้แก่ผู้ยื่นคำขอโดยต้องตรวจสอบว่าที่ดินที่มีผู้ยื่นคำขอหนังสือรับรองการทำประโยชน์นั้นอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติหรือเขตป่าไม้หรือมีอาญาเขตติดต่อกับเขตป่าสงวนแห่งชาติหรือเขตป่าไม้หรือไม่ด้วย หากมีอาญาเขตติดต่อหรืออยู่ในเขตป่าดังกล่าว จำเลยต้องรายงานต่อนายอำเภอเพื่อสั่งตั้งคณะกรรมการขึ้นตรวจสอบตามระเบียบก่อนเมื่อระหว่างวันที่ 4 ตุลาคม 2532 ถึงวันที่ 19 กันยายน 2535เวลากลางวันต่อเนื่องกัน จำเลยได้ปฏิบัติและละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ด้วยการรับรองเป็นหลักฐานซึ่งข้อเท็จจริงเกี่ยวกับที่ดินที่นายสุทัศน์ วงศ์ศรีตรัง ยื่นคำขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) จำนวน 3 แปลง ในท้องที่หมู่ที่ 5 ตำบลกันตังใต้อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง ตาม ส.ค.1 เลขที่ 108 เลขที่ 66 และเลขที่ 15 เป็นเนื้อที่ขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.)จำนวน 25 ไร่ 2 งาน 23 ไร่ 2 งาน และ 34 ไร่ 2 งาน ตามลำดับโดยเนื้อที่ตาม ส.ค.1 มีเพียง 4 ไร่ 80 ตารางวา 4 ไร่ 2 งาน และ7 ไร่ ตามลำดับ โดยจำเลยทำบันทึกรับรองต่อนายอำเภอกันตังว่าที่ดินทั้งสามแปลงดังกล่าวไม่อยู่ในเขตป่าไม้หรือเขตป่าสงวนแห่งชาติและมีการทำประโยชน์มากกว่าหลักฐานใน ส.ค.1 เต็มเนื้อที่ ซึ่งข้อความดังกล่าวเป็นความเท็จ ความจริงจำเลยรู้ดีว่าที่ดินที่ขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ไม่ได้มีการทำประโยชน์เต็มพื้นที่และอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ไม่อาจออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) ได้ หรือออกได้ก็ไม่เกินเนื้อที่ตาม ส.ค.1 การกระทำของจำเลยเป็นการรับรองเป็นหลักฐานซึ่งข้อเท็จจริงอันเอกสารมุ่งพิสูจน์ความจริงอันเป็นความเท็จ และจำเลยจงใจไม่ตรวจสอบเขตป่าสงวนแห่งชาติรายงานให้นายอำเภอกันตังทราบตามระเบียบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ราชการกรมการปกครอง กรมป่าไม้อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง และประชาชน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, 162
จำเลยทั้งสามสำนวนให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157, 162(4) การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา 157 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 การกระทำของจำเลยทั้งสามสำนวนเป็นความผิด 3 กรรม ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำคุกกระทงละ 5 ปี รวมจำคุก 15 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่บริหารงานที่ดิน อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง เป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายมีหน้าที่ตรวจพิสูจน์ที่ดินเพื่อออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) ให้แก่ผู้ยื่นคำขอโดยต้องตรวจสอบว่าที่ดินที่มีผู้ยื่นคำขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์นั้นอยู่ในเขตป่าสงวนหรือไม่ หากมีอาญาเขตติดต่อกับเขตป่าสงวนแห่งชาติ จำเลยต้องรายงานต่อนายอำเภอเพื่อตั้งกรรมการขึ้นตรวจสอบตามระเบียบก่อน นายสุทัศน์วงศ์ศรีตรัง ผู้ครอบครองที่ดินตามหนังสือแจ้งการครอบครอง (ส.ค.1)เลขที่ 15 เลขที่ 66 และเลขที่ 108 ตั้งอยู่ที่ตำบลกันตังใต้อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง ได้ยื่นคำขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ต่อทางอำเภอกันตัง มีการดำเนินการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ตามคำขอ นายอำเภอมีคำสั่งให้ตรวจสอบแนวเขตป่าและการทำประโยชน์ จำเลยทำบันทึกเสนอนายอำเภอว่าที่ดินทั้งสามแปลงไม่ได้อยู่ในเขตป่า สมควรออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้ นายอำเภอจึงออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) เลขที่ 974 ถึง 976 ตามเอกสารหมาย จ.1 ถึง จ.3ให้แก่นายสุทัศน์
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่พิพาททั้งสามแปลงอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ และการรังวัดของเจ้าพนักงานที่ดินเพื่อออกน.ส.3 ก. เลขที่ 974, 975, 976 ตำบลกันตังใต้ อำเภอกันตังจังหวัดตรัง ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ น.ส.3 ก. เอกสารหมาย จ.1 ถึง จ.3 ไม่มีการแจ้งให้เจ้าพนักงานป่าไม้ไประวางแนวเขต เมื่อนายอำเภอมีคำสั่งให้ตรวจสอบแนวเขตที่ดิน แสดงว่านายอำเภอมีเหตุสงสัยว่าที่ดินที่ขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) จะอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติหรือเขตติดต่อกับเขตป่าสงวนแห่งชาติซึ่งจำเลยมีหน้าที่ต้องแจ้งให้เจ้าพนักงานป่าไม้ไประวางแนวเขต ตามบันทึกข้อตกลงระหว่างกรมที่ดินกับกรมป่าไม้ว่าด้วยการพิสูจน์ที่ดิน เพื่อออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์เกี่ยวกับเขตป่าไม้ พ.ศ. 2424 แต่จำเลยไม่ได้แจ้งให้เจ้าพนักงานป่าไม้ไประวางแนวเขต แต่จำเลยกลับรายงานต่อนายอำเภอกันตังว่าที่เกิดเหตุทั้งสามแปลงไม่อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ จึงเป็นเหตุให้นายอำเภอกันตังออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ให้แก่นายสุทัศน์ การที่จำเลยเพียงแต่นำแผนทาบระวางเอกสารหมาย ล.9มาตรวจสอบเพียงอย่างเดียวแล้วรายงานนายอำเภอยังไม่มีเหตุเพียงพอการที่จำเลยมีหน้าที่แจ้งให้เจ้าพนักงานป่าไม้ไประวางแนวเขตแต่จำเลยไม่แจ้งกลับรายงานเท็จว่า ที่เกิดเหตุไม่อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติเป็นเหตุให้นายอำเภอกันตังออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์น.ส.3 ก. ดังกล่าวเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, 162(4) แต่การกระทำดังกล่าวเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา 157 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90
พิพากษายืน

Share