แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ภาค 3 ลักษณะ 2ว่าด้วยฎีกามิได้บัญญัติถึงวิธีปฏิบัติในการยื่นคำร้องเพื่อที่จะได้รับอนุญาตให้ฎีกาเป็นหนังสือจากอธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 จึงต้องนำบทบัญญัติตามมาตรา 230 วรรคสาม ในลักษณะ 1 ว่าด้วยอุทธรณ์มาใช้บังคับโดยอนุโลมตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 247 เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองย่อมมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นส่งสำนวนไปให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 รับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงภายในกำหนด 7 วัน นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาการที่อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำสั่งว่า จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้รับรองฎีกาเกินกำหนดระยะเวลาฎีกา จึงไม่รับรองฎีกาให้นั้นเป็นการไม่ชอบและถือว่ายังไม่ได้พิจารณาสั่งคำร้องของจำเลยทั้งสอง ศาลฎีกาย่อมให้ศาลชั้นต้นจัดส่งสำนวนและคำร้องดังกล่าวไปยังอธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 เพื่อพิจารณาสั่งต่อไป
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 141,040 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับตั้งแต่วันที่ 3 มิถุนายน2535 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกาพร้อมกับยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาที่ลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นรับรองฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงผู้พิพากษาศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้ฎีกา ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งในฎีกาว่า ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นไม่รับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงจึงไม่รับฎีกา ต่อมาจำเลยทั้งสองยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 29พฤศจิกายน 2539 ขอให้ศาลชั้นต้นส่งสำนวนไปให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 รับรองฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำสั่งว่าจำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้รับรองฎีกาเกินกำหนดระยะเวลาฎีกา จึงไม่รับรองฎีกาให้ให้ยกคำร้อง
จำเลยทั้งสองเห็นว่า จำเลยทั้งสองยื่นฎีกาพร้อมทั้งยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นรับรองฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงภายในระยะเวลาฎีกาตามที่กฎหมายกำหนดแล้วแต่ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง แม้ต่อมาภายหลังจำเลยทั้งสองจะยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นส่งสำนวนไปยังอธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 รับรองฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงพ้นกำหนดระยะเวลาฎีกาแล้วก็ตาม แต่ยังถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่ต่อเนื่องกันซึ่งกรณีดังกล่าวไม่ควรถือว่าเป็นการยื่นคำร้องพ้นกำหนดระยะเวลาฎีกาโปรดมีคำสั่งย้อนสำนวนไปยังอธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1พิจารณาอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต่อไป
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งภาค 3 ลักษณะ 2 ว่าด้วยฎีกามิได้บัญญัติถึงวิธีปฏิบัติในการยื่นคำร้องเพื่อที่จะได้รับอนุญาตให้ฎีกาเป็นหนังสือจากอธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 จึงต้องนำบทบัญญัติตามมาตรา 230 วรรคสาม ในลักษณะ 1 ว่าด้วยอุทธรณ์มาใช้บังคับโดยอนุโลมตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 247 เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองย่อมมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นส่งสำนวนไปให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1รับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงภายในกำหนด 7 วัน นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา การที่อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำสั่งว่าจำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้รับรองฎีกาเกินกำหนดระยะเวลาฎีกา จึงไม่รับรองฎีกาให้นั้นเป็นการไม่ชอบและถือว่ายังไม่ได้พิจารณาสั่งคำร้องของจำเลยทั้งสองจึงให้ศาลชั้นต้นจัดส่งสำนวนและคำร้องดังกล่าวไปยังอธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 เพื่อพิจารณาสั่งต่อไป”