แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เดิมที่ดินโฉนดเลขที่ 1103 มีเนื้อที่ 11 ไร่เศษต่อมาที่ดินแปลงดังกล่าวได้แบ่งแยกออกเป็น 3 แปลง ทำให้ที่ดินของโจทก์อยู่ตรงกลาง ไม่มีทางจะออกไปสู่ถนนสาธารณะได้นอกจากจะต้องผ่านออกทางลำกระโดงสาธารณประโยชน์ที่อยู่ทางด้าน ทิศตะวันออกของที่ดินของโจทก์และจำเลย ที่ดินของจำเลยทางด้าน ทิศตะวันออกจำเลยได้ก่อสร้างคอนโดมิเนียม ด้านข้างตลอดแนว ของคอนโดมิเนียมมีลำกระโดงสาธารณะขนาดกว้างประมาณ 2 ถึง 3 เมตร เลียบยาวไปทางด้านหน้าของคอนโดมิเนียมไปถึงคลองสาธารณะ บริเวณด้านข้างของคอนโดมิเนียม จำเลยยังเว้นที่ไว้มีระยะห่าง จากรั้วที่จะสร้างขึ้น 2 เมตร ตลอดแนว เมื่อปรากฏว่าลำกระโดง ดังกล่าวยาวไปออกคลองสาธารณะได้ และชาวบ้านละแวกนั้นต่างใช้ ลำกระโดงดังกล่าวเป็นทางสัญจรไปมา และใช้ทางเดินซึ่งเป็น ดินเลียบข้างลำกระโดงเดินออกไปสู่ถนนสาธารณะตลอดมา ที่ดินของโจทก์จึงมีทางออกสู่ถนนสาธารณะได้ โจทก์จึงไม่มีสิทธิขอให้จำเลยเปิดทางจำเป็นในที่ดินของจำเลย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยเปิดทางจำเป็นบนที่ดินโฉนดเลขที่ 1103ทางด้านทิศใต้ที่จดทางสาธารณะสายบางแวก กว้าง 4 เมตรตรงบริเวณส่วนกลางของที่ดินซึ่งมีสภาพเป็นถนนไปจนจดที่ดินโฉนดเลขที่ 3796 ของโจทก์ทางด้านทิศใต้ห้ามจำเลยปิดกั้นขัดขวางการใช้ทางดังกล่าว หากจำเลยไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า ที่ดินโจทก์มีทางออกสู่ทางสาธารณะด้านลำกระโดงสาธารณประโยชน์ โจทก์จึงไม่มีสิทธิขอเปิดทางจำเป็นขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าเดิมที่ดินโฉนดเลขที่ 1103 มีเนื้อที่ 11 ไร่เศษ มีอาณาเขตทิศเหนือจดคลองบางเชือกหนัง ทิศใต้จดถนนสาธารณะสายบางแวกทิศตะวันตกจดที่ดินบุคคลอื่น ทิศตะวันออกจดลำกระโดงสาธารณประโยชน์หรือคลองศาลเจ้า ต่อมาที่ดินแปลงดังกล่าวได้แบ่งแยกออกเป็น3 แปลง โดยแปลงแรกใช้เลขโฉนดเดิมเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยแปลงที่ 2 เป็นโฉนดเลขที่ 3796 โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ส่วนแปลงสุดท้ายไม่ปรากฏว่าเป็นของบุคคลใดและโฉนดเลขที่เท่าใดเมื่อโฉนดที่ดินเดิมถูกแบ่งแยกออกมาดังกล่าว ทำให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 3796 ของโจทก์อยู่ตรงกลาง ไม่มีทางจะออกไปสู่ถนนสาธารณะได้ นอกจากจะต้องผ่านออกทางลำกระโดงสาธารณประโยชน์หรือคลองศาลเจ้าที่อยู่ทางด้านทิศตะวันออกของที่ดินของโจทก์และจำเลยซึ่งไม่เป็นการสะดวก เว้นแต่ว่าจะต้องผ่านที่ดินของจำเลยซึ่งติดกับถนนสาธารณะสายบางแวก ที่ดินของโจทก์จึงจะออกไปสู่ทางสาธารณะได้โดยสะดวก โจทก์จึงขอให้จำเลยเปิดทางตามฟ้องเพื่อออกไปสู่ถนนสาธารณะสายบางแวก แต่จำเลยไม่ยินยอมอ้างว่าที่ดินโจทก์มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะได้ โดยผ่านทางลำกระโดงสาธารณประโยชน์หรือคลองศาลเจ้าได้อยู่แล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยเปิดทางในที่ดินของจำเลยเพื่อให้โจทก์ออกไปถนนสาธารณะสายบางแวกได้
มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า ที่ดินโจทก์ตกอยู่ในวงล้อมไม่สามารถจะออกไปสู่ทางสาธารณะอันเป็นเหตุให้โจทก์มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยเปิดทางเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินของโจทก์หรือไม่ โจทก์ฎีกาว่า ลำกระโดงสาธารณประโยชน์ซึ่งอยู่ทางด้านทิศตะวันออกของที่ดินโจทก์มีสภาพตื้นเขิน มีสิ่งกีดขวางไม่สามารถใช้เป็นทางสัญจรได้ตามปกติ โจทก์จึงมีสิทธิขอให้จำเลยเปิดทางในที่ดินของจำเลยเพื่อให้โจทก์ออกไปสู่ทางสาธารณะได้นั้น ได้ความตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นฉบับลงวันที่ 10 เมษายน 2538 ซึ่งศาลชั้นต้นออกไปเผชิญสืบที่พิพาทว่า ที่ดินของจำเลยทางด้านทิศตะวันออกจำเลยได้ก่อสร้างคอนโดมิเนียมด้านข้างตลอดแนวของคอนโดมิเนียมมีลำกระโดงสาธารณะขนาดกว้างประมาณ 2 ถึง 3 เมตร เลียบยาวไปทางด้านหน้าของคอนโดมิเนียมไปถึงคลองบางหลวง (บางแค)บริเวณด้านข้างของคอนโดมิเนียมนี้ จำเลยเว้นที่ไว้มีระยะห่างจากรั้วที่จะสร้างขึ้น 2 เมตร ตลอดแนว ดังนี้ เมื่อพิจารณาประกอบกับภาพถ่ายซึ่งโจทก์และจำเลยต่างรับว่าเป็นภาพถ่ายที่ถ่ายจากลำกระโดงสาธารณะดังกล่าว ประกอบคำเบิกความของนายสุทัน พูดเพราะ พยานจำเลยซึ่งเป็นคนพื้นที่ดังกล่าวมาตั้งแต่เกิดที่ว่าชาวบ้านละแวกนั้นต่างใช้ลำกระโดงดังกล่าวเป็นทางสัญจรไปมา และเดินตามทางเดินซึ่งเป็นดินเลียบข้างลำกระโดงออกไปสู่ถนนสายบางแวกตลอดมา ดังนี้ ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า ที่ดินของโจทก์มีทางออกสู่ถนนสาธารณะได้โจทก์จึงไม่มีสิทธิขอให้จำเลยเปิดทางจำเป็นในที่ดินของจำเลย
พิพากษายืน