แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขับไล่ผู้เช่าออกจากอสังหาริมทรัพย์ แม้กล่าวในฟ้องว่าหากนำออกให้ผู้อื่นเช่าจะได้ค่าเช่าเดือนละ50,000 บาท และศาลชั้นต้นกับศาลอุทธรณ์จะกำหนดค่าเสียหายให้เดือนละ 9,000 บาท ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นค่าเช่าในขณะยื่นคำฟ้องเพราะเป็นแต่อาจให้เช่าได้ในอัตราดังกล่าวเท่านั้น เมื่อจำเลยทำสัญญาเช่าตึกแถวพิพาทจากโจทก์ในอัตราค่าเช่าเดือนละ 1,500 บาท ต้องฟังว่าตึกแถวพิพาทมีค่าเช่าในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละ 10,000 บาท จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกไปจากตึกแถวที่เช่า และส่งมอบตึกแถวคืนแก่โจทก์กับให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้างชำระ 150,000 บาท และค่าเสียหายเดือนละ 50,000 บาทนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยจะส่งมอบตึกแถวคืนแก่โจทก์
จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารออกไปจากตึกแถวเลขที่ 207/1 ถนนประดิพัทธ์ แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพมหานครและส่งมอบตึกแถวดังกล่าวคืนโจทก์ กับให้จำเลยชำระค่าเสียหาย30,000 บาท แก่โจทก์ พร้อมกับค่าเสียหายเดือนละ 9,000 บาทนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยจะส่งมอบตึกแถวดังกล่าวคืนโจทก์ ส่วนคำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่ผู้เช่าออกจากอสังหาริมทรัพย์ แม้โจทก์จะกล่าวมาในฟ้องว่าหากนำออกให้ผู้อื่นเช่าจะได้ค่าเช่าเดือนละ 50,000 บาท และศาลชั้นต้นกับศาลอุทธรณ์จะกำหนดค่าเสียหายให้เดือนละ 9,000 บาทก็ตาม แต่ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นค่าเช่าในขณะยื่นคำฟ้องเพราะเป็นแต่อาจให้เช่าได้ในอัตราดังกล่าวเท่านั้น เมื่อจำเลยทำสัญญาเช่าตึกแถวพิพาทจากโจทก์ในอัตราค่าเช่าเดือนละ1,500 บาท จึงต้องฟังว่าตึกแถวพิพาทมีค่าเช่าในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละ 10,000 บาท จึงเป็นคดีฟ้องขับไล่จำเลยออกจากอสังหาริมทรัพย์อันอาจให้เช่าได้ในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละหนึ่งหมื่นบาทซึ่งคู่ความต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคสองที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีเป็นลายมือชื่อปลอม โจทก์เป็นบุคคลไร้ความสามารถไม่มีสติสัมปชัญญะ และไม่สามารถลงลายมือชื่อของตนเองได้ ผู้รับมอบอำนาจจึงไม่มีอำนาจฟ้องและดำเนินคดีแทนโจทก์ ทั้งไม่มีอำนาจตั้งทนายความให้ยื่นฟ้องคดีนี้ และโจทก์มีนายบุญชัย วสุนธรา ผู้รับมอบอำนาจมาเบิกความสนับสนุนเพียงปากเดียว ไม่มีพยานอื่นมาเบิกความอีกเลยนายบุญชัยย่อมจะเบิกความเป็นประโยชน์แก่ฝ่ายโจทก์เป็นธรรมดา นอกจากนี้ยังได้ความตามคำสั่งศาลเอกสารหมาย จ.1และคำเบิกความของนายบุญชัยว่าโจทก์เป็นบุคคลเสมือนไร้ความสามารถ เชื่อคนง่ายไม่สามารถตัดสินใจได้เองความจำเสื่อม ตัดสินใจผิดพลาด มีสภาพจิตใจอ่อนแอ ง่ายต่อการชักจูงล่อลวง เมื่อโจทก์เดินทางไปไหนต้องมีบุคคลอื่นไปด้วยทั้งต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์ตลอด สอดคล้องกับคำให้การของจำเลยที่ว่าโจทก์ไม่มีสติสัมปชัญญะ การรับรู้และความทรงจำไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ไม่สามารถที่จะลงลายมือชื่อของตนเองได้นานแล้วไม่มีเจตนาฟ้องและดำเนินคดีนี้และยังฟังไม่ได้ว่าลายมือชื่อในช่องผู้มอบอำนาจให้ฟ้องคดีนี้เป็นลายมือชื่ออันแท้จริงของโจทก์ และฟังไม่ได้ว่านางเกศราผู้พิทักษ์ได้ยินยอมให้โจทก์ฟ้องคดีนี้ด้วยนั้น เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงซึ่งศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยไว้แล้วว่าโจทก์เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถซึ่งได้รับความยินยอมจากนางเกศรา บุณยตุลย์ ผู้พิทักษ์ให้ฟ้องคดีนี้แล้วและลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีเป็นลายมือชื่อของโจทก์ ดังนั้นฎีกาของจำเลยจึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงอันต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยส่วนที่จำเลยฎีกาด้วยว่าโจทก์ได้มอบอำนาจให้บริษัทบ้านและอาคารชุดจำกัดเป็นตัวแทนในการบอกเลิกสัญญาเช่า ฟ้องขับไล่ รื้อถอนอาคาร โจทก์จึงหมดสิทธิฟ้องขับไล่จำเลย แต่เป็นสิทธิของบริษัทดังกล่าวแต่เพียงผู้เดียวนั้น เห็นว่า เป็นข้อที่นอกเหนือจากคำให้การทั้งมิใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างทั้งสองศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้เช่นกัน”
พิพากษายกฎีกาจำเลย