คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 843/2539

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ในการฟ้องคดีก่อนจำเลยเตรียมการไว้ล่วงหน้าที่จะฟ้องโจทก์โดยไม่ให้โจทก์ทราบว่าถูกฟ้อง แม้แต่ชื่อของโจทก์ก็ระบุไม่ตรงกับชื่อและนามสกุลของโจทก์ หลังจากศาลมีคำพิพากษาแล้วจำเลยนำคำพิพากษาไปให้เจ้าพนักงานที่ดินจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินของโจทก์ให้จำเลยทั้ง ๆ ที่ชื่อและนามสกุลของโจทก์ไม่ตรงกับชื่อของโจทก์ที่ระบุไว้ในโฉนดที่ดิน เป็นการใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะให้เกิดเสียหายแก่บุคคลอื่นอันเป็นการมิชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 421 ถือว่าเป็นละเมิดต่อโจทก์ตามมาตรา 420 โจทก์จึงฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 436โดยถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับผู้อื่น เฉพาะส่วนของโจทก์มีเนื้อที่ 1 ไร่เมื่อต้นปี 2529 โจทก์ทราบว่าจำเลยนำคำพิพากษาของศาลแพ่งซึ่งจำเลยได้ฟ้องโจทก์ว่า โจทก์ผิดสัญญาขายที่ดินแปลงดังกล่าวเฉพาะส่วนของโจทก์ให้แก่จำเลย คดีดังกล่าวโจทก์ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ศาลแพ่งมีคำพิพากษาให้จำเลยเป็นฝ่ายชนะคดีเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนนทบุรีจึงโอนกรรมสิทธิ์ส่วนของโจทก์เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยตามคำพิพากษา โจทก์ไม่เคยทราบเรื่องที่ถูกจำเลยฟ้อง จึงมิได้ไปให้การต่อสู้คดี ความจริงโจทก์ไม่เคยทำสัญญาขายที่ดินดังกล่าวให้จำเลย สัญญาซื้อขายที่จำเลยนำไปฟ้องโจทก์เป็นเอกสารปลอมลายมือชื่อโจทก์เป็นผู้ขายขอให้พิพากษาเพิกถอนการโอนโฉนดที่ดินดังกล่าวเฉพาะส่วนของจำเลยให้กลับคืนเป็นของโจทก์ตามเดิม โดยให้จำเลยชำระค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียน ถ้าโจทก์ชำระค่าธรรมเนียมดังกล่าวไปก่อนก็ให้จำเลยใช้คืนพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ถ้าไม่สามารถจดทะเบียนให้โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ตามเดิมได้ ให้จำเลยใช้ราคาค่าที่ดินเป็นเงิน 450,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
ศาลชั้นต้นพิเคราะห์คำฟ้องแล้ว มีคำสั่งว่า เป็นกรณีที่โจทก์จะต้องใช้สิทธิร้องขอให้ศาลพิจารณาคดีใหม่ที่ศาลเดิมมิใช่มายื่นฟ้องจำเลยเป็นคดีใหม่ จึงไม่รับฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นรับฟ้องของโจทก์ไว้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป
จำเลยให้การว่า จำเลยซื้อที่ดินตามฟ้องจากโจทก์และได้ชำระราคาครบถ้วนแล้ว แต่โจทก์ไม่โอนกรรมสิทธิ์ให้จึงต้องฟ้องคดีให้ศาลแพ่งบังคับ โจทก์ฟ้องคดีที่ศาลชั้นต้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ต้องร้องต่อศาลแพ่งให้พิจารณาคดีใหม่ซึ่งคดีของโจทก์ในการขอให้พิจารณาคดีใหม่ก็ขาดอายุความแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาโจทก์ถึงแก่กรรม นายบัณฑิต วงศ์พรหมเวชย์ทายาทผู้รับทรัพย์มรดกตามพินัยกรรมของโจทก์ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ระหว่างโจทก์จำเลย ซึ่งได้จดทะเบียนไว้เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2526ในโฉนดที่ดินเลขที่ 436 ตำบลบางตลาด อำเภอตลาดขวัญจังหวัดนนทบุรี แล้วให้จดทะเบียนลงชื่อโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์จำนวน 1 ไร่ ตามเดิม คำขออื่นให้ยกเสีย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์มีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 436ตำบลตลาดขวัญ (บางตลาด) อำเภอเมืองนนทบุรี (ตลาดขวัญ)จังหวัดนนทบุรี เฉพาะส่วนของโจทก์ที่ได้โอนไปเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยได้นั้น เห็นว่า คดีนี้โจทก์กล่าวอ้างว่า ในการดำเนินคดีที่ศาลแพ่งตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 15113/2522 โจทก์ไม่เคยทราบเรื่องเลย ศาลแพ่งจึงพิจารณาคดีของจำเลยไปฝ่ายเดียวและพิพากษาให้จำเลยชนะคดี หลังจากนั้นจำเลยนำคำพิพากษาไปดำเนินการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินเฉพาะส่วนที่เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ไปเป็นของจำเลย จึงขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าว ถ้าพิจารณาการดำเนินกระบวนพิจารณาในคดีดังกล่าวก็ปรากฏตามคำฟ้องว่า จำเลยได้ระบุภูมิลำเนาของโจทก์ว่าอยู่ที่บ้านเลขที่ 107/93 ถนนลาดพร้าว ซอยโชคชัย 3 ตำบลวังทองหลางเขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร แต่ตามสำเนาทะเบียนบ้านเอกสารหมาย ร.3 ระบุว่าโจทก์มีภูมิลำเนาอยู่ที่บ้านเลขที่ 53ถนนบำรุงเมือง ตำบลศาลเจ้าพ่อเสือ เขตพระนคร กรุงเทพมหานครในการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่โจทก์ครั้งแรกพนักงานเดินหมายได้รับแจ้งจากนางสาวนภาพร วิเชียรชิตว่าไม่มีบุคคลชื่อเดียวกับโจทก์อยู่ในบ้านตามภูมิลำเนาที่ระบุไว้ในคำฟ้อง และนางสาวชุตินาถ รุ่งทองทาบนภา ซึ่งมีชื่อเป็นผู้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องแทนโจทก์และมาเบิกความในคดีนี้ตามที่โจทก์ขอให้ศาลมีหมายเรียกมาเบิกความว่า ในปี 2522ถึง 2523 พยานอยู่ที่บ้านเลขที่ตามที่ระบุไว้ในคำฟ้องว่าเป็นภูมิลำเนาของโจทก์โดยพยานเป็นเจ้าบ้าน พยานไม่เคยรู้จักโจทก์มาก่อน จึงฟังได้ว่าในขณะจำเลยฟ้องโจทก์เป็นคดีที่ศาลแพ่งดังกล่าวโจทก์ไม่ได้มีภูมิลำเนาตามบ้านเลขที่ที่จำเลยระบุไว้ในคำฟ้องและไม่เคยไปอาศัยอยู่ในบ้านดังกล่าวด้วย การที่ในปี 2522โจทก์มีภูมิลำเนาอยู่ที่บ้านเลขที่ 53 ถนนบำรุงเมืองตำบลศาลเจ้าพ่อเสือ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร และไม่เคยมีภูมิลำเนาอยู่ที่บ้านเลขที่ 107/93 ซอยโชคชัย 3 ถนนลาดพร้าวแขวงวังทองหลาง เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร และเมื่อจำเลยฟ้องโจทก์ต่อศาลแพ่งก็ระบุว่าโจทก์มีภูมิลำเนาอยู่ที่บ้านเลขที่ 107/23 ในการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยบุคคลที่อยู่ในบ้านดังกล่าวแจ้งว่าไม่มีคนชื่อเดียวกับโจทก์อยู่ในบ้าน จำเลยก็แถลงยืนยันว่า โจทก์มีภูมิลำเนาตามฟ้องโดยไม่ได้แสดงหลักฐานอะไรต่อศาลแพ่ง แสดงให้เห็นว่าได้มีการเตรียมการไว้ล่วงหน้าที่จะฟ้องโจทก์โดยไม่ให้โจทก์ทราบว่าถูกฟ้อง แม้แต่ชื่อของโจทก์ก็ระบุในคำฟ้องว่าชื่อนางสาวสุขลักษณ์ดิษสกุลเวช ซึ่งไม่ตรงกับชื่อและนามสกุลของโจทก์ หลังจากศาลแพ่งมีคำพิพากษาแล้ว จำเลยนำคำพิพากษาไปให้เจ้าพนักงานที่ดินจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินของโจทก์ทั้ง ๆ ที่ชื่อและนามสกุลของโจทก์ซึ่งเป็นจำเลยในคดีที่จำเลยเป็นโจทก์ฟ้องไม่ตรงกับชื่อของโจทก์ที่ระบุไว้ในโฉนดที่ดิน พฤติการณ์ของจำเลยในการดำเนินคดีที่ศาลแพ่งและการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินเป็นการใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะให้เกิดเสียหายแต่บุคคลอื่นอันเป็นการมิชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 421 ถือว่าเป็นการละเมิดต่อโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 ดังนั้น การได้ไปซึ่งที่ดินพิพาทของจำเลยเป็นการได้ไปโดยกระทำละเมิดต่อโจทก์ ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายดังกล่าว โจทก์จึงขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทได้”
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share