คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9401/2538

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

แหวนเพชรของผู้เสียหายถูก อ. ลักไป และจำเลยที่ 1ซื้อจาก อ. จึงมีความผิดฐานรับของโจร จำเลยที่ 1 ให้จำเลยที่ 2 นำแหวนไปจำนำที่โรงรับจำนำแทน โดยจำเลยที่ 2ไม่รู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ถูกลักมาจำเลยที่ 2 ไม่มีความผิดฐานรับของโจร แต่เมื่อแหวนเพชรอยู่ที่โรงรับจำนำจะต้องไปไถ่คืนจึงจะได้คืน ศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยที่ 1 คืนเงินจำนวนที่รับไปจากโรงรับจำนำจำนวน 15,000 บาท แก่ผู้เสียหาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันซื้อกล้องถ่ายรูปแคนนอน1 กล้อง ราคา 15,840 บาท และกล้องเพนเท็ก 1 กล้อง ราคา8,000 บาท และแหวนเพชร 3 เม็ด 1 วง ราคา 40,000 บาทซึ่งเป็นทรัพย์ส่วนหนึ่งของนางสาววิภา แหวนดวงเด่นผู้เสียหายซึ่งถูกนายอนันต์หรือสนั่น แตงเอี่ยม จำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 4408/2536 ของศาลชั้นต้น ลักไปเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2536 โดยจำเลยทั้งสองรู้อยู่ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำผิดฐานลักทรัพย์ ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้นำกล้องถ่ายรูป 2 กล้อง และจำเลยที่ 2 ได้นำแหวนเพชรดังกล่าวไปจำนำที่โรงรับจำนำ เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยทั้งสองพร้อมยึดตั๋วจำนำ 2 ใบ เป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 357, 83 และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนแหวนเพชรหรือใช้ราคา 40,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดฐานรับของโจรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 จำคุกคนละ 2 ปีจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพชั้นจับกุม เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 1 ปี 4 เดือน ให้จำเลยทั้งสองคืนแหวนเพชรหรือใช้ราคาทรัพย์ 40,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่าเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2536 เวลากลางวัน นายอนันต์หรือสนั่น แตงเอี่ยม กับพวกอีก 1 คน ได้ร่วมกันลักทรัพย์ของนางสาววิภา แหวนดวงเด่น ผู้เสียหายไป 21 รายการ ตามบัญชีทรัพย์ ถูกประทุษร้ายเอกสารหมาย จ.3 ต่อมาวันที่8 มีนาคม 2536 จำเลยที่ 1 นำกล้องถ่ายรูปยี่ห้อแคนนอนเลขที่ 1477832 ซึ่งตรงกับเลขที่กล้องถ่ายรูปยี่ห้อแคนนอนของผู้เสียหายที่ถูกคนร้ายลักไป และกล้องถ่ายรูปยี่ห้อเพนเท็กซึ่งเป็นกล้องยี่ห้อเดียวกับของผู้เสียหายที่ถูกลักไป ไปจำนำที่โรงรับจำนำเอี๊ยะง้วนในราคารวม 8,000 บาท และวันที่30 กันยายน 2536 จำเลยที่ 2 นำแหวนเพชร 2 วง ไปจำนำที่โรงรับจำนำเดียวกันในราคา 15,000 บาท ตามตั๋วรับจำนำเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า จำเลยทั้งสองกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า กล้องถ่ายรูปทั้งสองกล้องและแหวนเพชรทั้งสองวงเป็นทรัพย์ของผู้เสียหายที่ถูกนายอนันต์ลักไป และจำเลยที่ 1 ซื้อจากนายอนันต์ที่โรงรับจำนำรับจำนำกล้องถ่ายรูปทั้งสองในราคา 5,000 บาทและแหวนเพชร 2 วง ในราคา 15,000 บาท นั้น ก็เป็นราคาที่ต่ำกว่าราคาที่แท้จริงมาก แสดงว่าจำเลยที่ 1 ซื้อมาในราคาที่ต่ำมาก ประกอบกับกล้องถ่ายรูปและแหวนเพชรนั้น จำเลยที่ 1ย่อมจะทราบถึงฐานะของเจ้าของ การที่นายอนันต์นำไปขายให้แก่จำเลยที่ 1 ที่แผงลอยขายของจำเลยที่ 1 เช่นนี้ จึงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ทราบดีว่าทรัพย์ดังกล่าวเป็นของร้ายที่ได้มาจากการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ มิฉะนั้น นายอนันต์คงไม่นำไปขายในสถานที่เช่นนั้นและขายในราคาถูกกว่าราคาจริงมากจำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานรับของโจร ส่วนจำเลยที่ 2 เพิ่งนำแหวนเพชรไปจำนำในวันที่ 30 กันยายน 2536 โดยจำเลยที่ 1ให้นำไปจำนำแทนจำเลยที่ 1 คงไม่บอกให้ทราบว่าเป็นของร้ายที่ถูกลักมา จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ช่วยนำไปจำนำโดยทราบว่าเป็นทรัพย์ที่ถูกลักมา ฎีกาโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน แต่เมื่อแหวนเพชรอยู่ที่โรงรับจำนำจะต้องไปไถ่คืนจึงจะได้คืน จึงชอบที่จะให้จำเลยที่ 1 คืนเงินจำนวนที่รับไปจากโรงรับจำนำจำนวน 15,000 บาท แก่ผู้เสียหาย”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีจำเลยที่ 1 ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โดยให้จำเลยที่ 1 ใช้ราคาแก่ผู้เสียหาย 15,000 บาทนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share