คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9117/2538

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

คำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งไม่รับคำให้การของจำเลยเป็นคำสั่งไม่รับคำคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 18 จำเลยมีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาได้ทันทีตามมาตรา 228(3)แต่เมื่อจำเลยอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว ศาลชั้นต้นคงดำเนินการพิจารณาต่อไป และศาลอุทธรณ์ก็มิได้สั่งให้ศาลชั้นต้นงดการพิจารณาไว้ก่อนตามมาตรา 228 วรรคสองจนศาลชั้นต้นพิพากษาคดีไปแล้ว โดยจำเลยมิได้อุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้น คำพิพากษาของศาลชั้นต้นจึงเสร็จเด็ดขาดถึงที่สุดแล้ว ดังนั้น การที่จะให้ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนและมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดีไม่ว่าศาลชั้นต้นจะสั่งรับหรือไม่รับคำให้การของจำเลยย่อมไม่อาจจะทำให้ผลของคำพิพากษาซึ่งถึงที่สุดแล้วเปลี่ยนแปลงไปได้อุทธรณ์ของจำเลยจึงไม่เป็นประโยชน์แก่คดีไม่ชอบที่ศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัย

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระค่าจ้างตัดเสื้อผ้าจำนวน 211,901 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในเงินต้น 205,480 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นเห็นว่าจำเลยยื่นคำให้การเมื่อพ้นกำหนดเวลาที่จะยื่นคำให้การแล้ว จึงไม่รับคำให้การของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวอ้างว่าจำเลยยื่นคำให้การภายในกำหนดเวลาแล้ว ขอให้มีคำสั่งรับคำให้การของจำเลย
ระหว่างพิจารณาคดีของศาลอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นได้ดำเนินคดีต่อไปและมีคำพิพากษาให้จำเลยแพ้คดี และคดีดังกล่าวถึงที่สุดโดยคู่ความมิได้อุทธรณ์คำพิพากษา
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า กรณียังเป็นที่สงสัยว่าเจ้าพนักงานปิดหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องวันใดแน่ หากได้ความตามคำร้องย่อมถือไม่ได้ว่าจำเลยยื่นคำให้การเกินกำหนด พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนและมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาตามฎีกาของโจทก์มีว่า คำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งไม่รับคำให้การของจำเลยเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาจำเลยจะอุทธรณ์คำสั่งทันทีได้หรือไม่ เห็นว่า คำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งไม่รับคำให้การของจำเลยนั้น เป็นคำสั่งไม่รับคำคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 จำเลยมีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาได้ทันทีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 228(3)แต่เมื่อจำเลยอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าว ศาลชั้นต้นคงดำเนินการพิจารณาต่อไป และศาลอุทธรณ์ก็มิได้สั่งให้ศาลชั้นต้นงดการพิจารณาไว้ก่อนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 228 วรรคสอง จนศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาคดีไปแล้วโดยจำเลยมิได้อุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นแต่อย่างใด คำพิพากษาของศาลชั้นต้นดังกล่าวจึงเสร็จเด็ดขาดถึงที่สุดแล้ว ดังนั้นการที่จะให้ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนและมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดีไม่ว่าผลการไต่สวนจะเป็นประการใด ไม่ว่าศาลชั้นต้นจะสั่งรับคำให้การของจำเลยย่อมไม่อาจจะทำให้ผลของคำพิพากษาซึ่งถึงที่สุดแล้วเปลี่ยนแปลงไปได้อุทธรณ์ของจำเลยจึงไม่เป็นประโยชน์แก่คดีอย่างใดเมื่อโจทก์ฎีกาต่อมา ศาลฎีกาจึงต้องยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยเหตุผลดังวินิจฉัยแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และยกฎีกาของโจทก์

Share