คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8444/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ทั้งห้าฟ้องว่าที่ดินพิพาทราคา 200,000 บาท เป็นทรัพย์มรดกของผู้ตายตกได้แก่โจทก์ทั้งห้าและจำเลยคนละส่วนขอให้แบ่งที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ทั้งห้าตามส่วนและขอให้แบ่งค่าเช่าที่ดินพิพาทจำนวน 1,500 บาท ให้แก่โจทก์ทั้งห้าด้วยจำเลยให้การว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่ทรัพย์มรดกแต่เป็นทรัพย์ที่ผู้ตายยกให้แก่จำเลยตั้งแต่ผู้ตายยังมีชีวิตอยู่ จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ต้องคิดตามส่วนแบ่งของโจทก์แต่ละคนจะได้รับแยกต่างหากจากกัน ไม่ใช่ถือราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่ฟ้องรวมกันมา เมื่อราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์แต่ละคนอุทธรณ์ไม่เกิน 50,000 บาท จึงต้องห้ามมิให้โจทก์ทั้งห้าอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 224 วรรคหนึ่ง คดีนี้ศาลชั้นต้นฟังว่าผู้ตายยกที่ดินพิพาทให้แก่จำเลย ที่ดินพิพาทจึงไม่ใช่ทรัพย์มรดก โจทก์ทั้งห้าอุทธรณ์ว่าที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกจึงเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาล เป็นข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว แม้ศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัยให้ก็เป็นการไม่ชอบ จำเลยฎีกาในปัญหาดังกล่าวถือว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งห้าและจำเลยเป็นบุตรของนายเต่าและนางแหมะ ศรีเฟือง โดยชอบด้วยกฎหมาย เมื่อวันที่26 ตุลาคม 2511 นายเต่าถึงแก่กรรมมีที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครอง (ส.ค.1) เลขที่ 5 ตำบลวัดละมุด อำเภอนครชัยศรีจังหวัดนครปฐม เนื้อที่ 5 ไร่ 2 งาน 56 ตารางวา ราคา 200,000 บาทเป็นมรดกตกได้แก่โจทก์ทั้งห้าและจำเลยคนละส่วน โจทก์ทั้งห้าและจำเลยร่วมกันครอบครองทำประโยชน์ที่ดินแปลงนี้โดยผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันทำนาจนถึง พ.ศ. 2531 จึงให้คนอื่นเช่าคิดค่าเช่าเป็นข้าวเปลือกไร่ละ 6 ถัง ครั้นถึง พ.ศ. 2533คิดค่าเช่าเป็นไร่ละ 8 ถัง ต่อมาเดือนกุมภาพันธ์ 2533 โจทก์ทั้งห้าขอหนังสือแบบแจ้งการครอบครองจากจำเลยเพื่อนำไปขอรังวัดออกโฉนด แต่จำเลยไม่ยอมให้ โจทก์ทั้งห้าไปตรวจสอบหลักฐานที่สำนักงานที่ดินอำเภอนครชัยศรี จึงทราบว่าจำเลยได้ลักลอบไปรับโอนมรดกที่ดินแปลงนี้เป็นของจำเลยไปแล้วเมื่อวันที่ 16พฤษภาคม 2512 ทำให้โจทก์ทั้งห้าได้รับความเสียหายขอให้บังคับจำเลยแบ่งที่ดินพิพาทแก่โจทก์ทั้งห้าคนละ 3 งาน 76 ตารางวาหากแบ่งไม่ได้ให้ประมูลราคาระหว่างโจทก์ทั้งห้าและจำเลยหรือขายทอดตลาดเอาเงินมาแบ่งให้แก่โจทก์ทั้งห้าและจำเลยตามสิทธิและถ้าจำเลยยักย้ายหรือปิดบังทรัพย์มรดกเท่าส่วนที่ตนจะได้หรือมากกว่าส่วนที่ตนจะได้ก็ขอให้กำจัดมิให้จำเลยได้รับมรดกเลยโดยให้มรดกตกแก่โจทก์ทั้งห้า หากจำเลยยักย้ายหรือปิดบังทรัพย์มรดกไว้น้อยกว่าส่วนที่ตนจะได้ก็ขอให้กำจัดมิให้จำเลยได้รับมรดกเฉพาะส่วนที่ยักย้ายหรือปิดบังและให้ตกแก่โจทก์ทั้งห้าให้จำเลยรังวัดออกโฉนดที่ดินแปลงนี้ให้แก่โจทก์ทั้งห้าตามส่วนและจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์ทั้งห้าในโฉนดที่ดินดังกล่าว หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยถ้าปรากฏว่าจำเลยถูกกำจัดไม่ให้รับมรดกเลยก็ขอให้มีคำสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครปฐมรังวัดออกโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ทั้งห้าต่อไป และให้จำเลยแบ่งเงินค่าเช่าที่ดินแปลงนี้ให้แก่โจทก์ทั้งห้าจำนวน 1,500 บาท กับค่าเช่าที่ดินอีกปีละ1,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะแบ่งทรัพย์มรดกเสร็จสิ้น
จำเลยให้การว่า ขณะที่นายเต่ายังมีชีวิตอยู่ จำเลยได้อุปการะเลี้ยงดูและปลดหนี้ของนายเต่าจนหมด นายเต่าจึงยกที่ดินพิพาทให้แก่จำเลย หลังจากนายเต่าถึงแก่กรรมจำเลยได้จดทะเบียนใส่ชื่อจำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท ซึ่งโจทก์ทั้งห้าทราบดีและไม่คัดค้าน โจทก์ทั้งห้าจึงไม่มีสิทธิในที่ดินพิพาท หากฟังว่าที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกฟ้องโจทก์ทั้งห้าก็ขาดอายุความ และจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทมาโดยตลอดจนได้กรรมสิทธิ์ตามกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งห้าอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยแบ่งที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครอง (ส.ค.1) เลขที่ 5 ตำบลวัดละมุด อำเภอนครชัยศรีจังหวัดนครปฐม แก่โจทก์ทั้งห้าคนละ 3 งาน 76 ตารางวา และให้แบ่งค่าเช่าที่ดินพิพาทแก่โจทก์ทั้งห้าคนละ 1 ใน 6 ส่วนนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะแบ่งที่ดินพิพาทเสร็จสิ้นหรือไม่มีคนเช่า หากไม่สามารถแบ่งที่ดินพิพาทได้ให้ประมูลราคากันเองหรือขายทอดตลาดเอาเงินมาแบ่งกันตามสิทธิ คำขอนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ทั้งห้าฟ้องว่าที่ดินพิพาทราคา 200,000 บาท เป็นทรัพย์มรดกของผู้ตายตกได้แก่โจทก์ทั้งห้าและจำเลยคนละส่วนขอให้แบ่งที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ทั้งห้าตามส่วนและขอให้แบ่งค่าเช่าที่ดินพิพาทจำนวน 1,500 บาท ให้แก่โจทก์ทั้งห้าด้วย จำเลยให้การว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่ทรัพย์มรดกแต่เป็นทรัพย์ที่ผู้ตายยกให้แก่จำเลยตั้งแต่ผู้ตายยังมีชีวิตอยู่ จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ต้องคิดตามส่วนแบ่งของโจทก์แต่ละคนจะได้รับแยกต่างหากจากกัน ไม่ใช่ถือราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่ฟ้องรวมกันมา ปรากฏว่าราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์แต่ละคนฟ้องอุทธรณ์ไม่เกิน 50,000 บาท จึงต้องห้ามมิให้โจทก์ทั้งห้าอุทธรณ์ ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 คดีนี้ศาลชั้นต้นฟังว่าผู้ตายยกที่ดินพิพาทให้แก่จำเลย ที่ดินพิพาทจึงไม่ใช่ทรัพย์มรดกโจทก์ทั้งห้าอุทธรณ์ว่าที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกจึงเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาล เป็นข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว แม้ศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัยให้ก็เป็นการไม่ชอบ จำเลยฎีกาในปัญหาดังกล่าวถือว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และยกฎีกาจำเลย

Share