คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7907/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามสัญญาค้ำประกันที่จำเลยที่ 2 ทำให้ไว้แก่โจทก์ระบุว่าเนื่องในการที่โจทก์ยอมรับบริษัทจำเลยที่ 1 ซึ่งต่อไปในสัญญานี้เรียกว่าลูกหนี้กู้ยืมเงินหรือก่อหนี้สินประเภทต่าง ๆ เช่น ขาดลดเช็ค ฯลฯ จำเลยที่ 2 ยอมเข้าค้ำประกันหนี้ดังกล่าวมาของลูกหนี้ ภายในวงเงิน 2,500,000 บาทพร้อมทั้งดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 17 ต่อปี ตลอดจนเงื่อนไขต่าง ๆในสัญญาที่ก่อให้เกิดภาระหนี้นั้น ไม่ว่าหนี้เครดิตสินเชื่อหรือความรับผิดนั้นจะมีอยู่แล้วในเวลานี้หรือต่อไปในภายหน้าทั้งนี้จนกว่าเจ้าหนี้ (โจทก์) จะได้รับชำระหนี้หรือได้รับชดใช้โดยสินเชิง ข้อความดังกล่าวนี้แจ้งชัดว่าจำเลยที่ 2มิได้ค้ำประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 ในวงเงินจำกัดเพียง 2,500,000บาท แต่รวมทั้งดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 17 ต่อปี ของวงเงินค้ำประกันดังกล่าวด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดได้รับอนุญาตจากกระทรวงการคลังให้ประกอบธุรกิจเงินทุนและธุรกิจหลักทรัพย์มีวัตถุประสงค์ให้กู้ยืนเงิน รับซื้อลดตั๋วเงินและให้สินเชื่อประเภทต่าง ๆ จำเลยที่ 1 จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการมีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1 โดยลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญของจำเลยที่ 1เมื่อต้นเดือนตุลาคม 2529 จำเลยที่ 1 ได้กู้ยืมเงินจากโจทก์จำนวน 2,500,000 บาท ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 17 ต่อปี ต่อมาวันที่ 7 ตุลาคม 2529 และวันที่ 24 ธันวาคม 2529 จำเลยที่ 1ได้นำเช็คโดยผู้มีชื่อลงลายมือชื่อสั่งจ่ายนำมาขายลดแก่โจทก์โดยมีข้อตกลงว่าหากโจทก์รับเงินตามเช็คไม่ได้ยอมใช้ดอกเบี้ยฉบับแรกร้อยละ 18.5 ต่อปี ฉบับที่สองร้อยละ 17 ต่อปี ต่อจากนั้นจำเลยที่ 1 ได้นำเช็คมาแลกเช็คที่ถึงกำหนดจากโจทก์อีกหลายครั้งเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2529 จำเลยที่ 2 ในฐานะส่วนตัวได้ค้ำประกันหนี้ที่จำเลยที่ 1 ได้กู้ยืมหรือขายลดเช็คในวงเงิน2,500,000 บาท โดยยอมรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 1ตุลาคม 2529 จำเลยที่ 1 ได้นำที่ดินโฉนดเลขที่ 4195 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง มาจำนองเป็นประกันหนี้กู้ยืมและหนี้ตามสัญญาขายลดตั๋วเงินในวงเงิน 1,000,000 บาท ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18.5 ต่อปี เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2529 จำเลยที่ 1ได้นำเครื่องจักรจำนวน 13 เครื่อง ของจำเลยที่ 1 ซึ่งได้จดทะเบียนกรรมสิทธิ์ เครื่องจักร มาจำนองประกันหนี้ที่จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์อยู่ในวงเงิน 1,500,000 บาท ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18.5ต่อปี โจทก์ได้มีหนังสือบอกกล่าวทวงถามให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้เงินกู้และหนี้ขายลดเช็คพร้อมดอกเบี้ยและบอกกล่าวการบังคับจำนอง จำเลยทั้งสองไม่ยอมชำระ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองให้ร่วมกันและแทนกันชำระต้นเงินกู้จำนวน 2,500,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 17 ต่อปี คิดถึงวันฟ้องเป็นเงิน963,758.08 บาท รวมต้นเงินและดอกเบี้ยจำนวน 3,463,757.08 บาท และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันและแทนกันชำระต้นเงินหนี้ขายลดเช็คจำนวน 400,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 17 ต่อปีคิดถึงวันฟ้องเป็นเงิน 133,136.12 บาท รวมต้นเงินและดอกเบี้ยขายลดตั๋วเงินจำนวน 533,136.12 บาท เป็นเงินที่จำเลยทั้งสองจะต้องชำระแก่โจทก์ถึงวันฟ้องทั้งสิ้น 3,996,894.20 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 17 ต่อปีจากต้นเงินจำนวน2,900,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระให้นำที่ดินโฉนดเลขที่ 4195 พร้อมสิ่งปลูกสร้างและเครื่องจักรรวม 13 เครื่อง ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์และให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์จนครบ
จำเลยที่ 1 ให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 มีความรับผิดตามสัญญาค้ำประกันเพียงวงเงิน 2,500,000 บาท เท่านั้น โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 2 รับผิดเกินวงเงินดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะเป็นการรับผิดแทนจำเลยที่ 1 โดยไม่จำกัดจำนวน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 3,996,894.20 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 17 ต่อปี ของต้นเงิน 2,900,000 บาทนับถัดจากวันฟ้อง จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลยที่ 2ร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดไม่เกินจำนวน 2,500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 17 ต่อปี นับแต่วันทำสัญญากันจนกว่าจะชำระเสร็จหากจำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้ชำระไม่ครบถ้วนให้บังคับจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 4195 พร้อมสิ่งปลูกสร้างและเครื่องจักรรวม 13เครื่อง โดยนำทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ หากได้เงินไม่พอชำระ ให้ยึดทรัพย์จำเลยที่ 1 ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาตามฎีกาของจำเลยที่ 2 มีว่าจำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดต่อโจทก์เกินวงเงิน 2,500,000 บาทตามสัญญาค้ำประกันหรือไม่ เห็นว่าตามสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.24 ข้อ 1 ระบุว่า เนื่องในการที่เจ้าหนี้ (โจทก์) ยอมให้บริษัทไทยยังผลิตภัณฑ์เกษตร จำกัด (จำเลยที่ 1) ซึ่งต่อไปในสัญญานี้เรียกว่าลูกหนี้กู้ยืมเงินหรือก่อหนี้สินประเภทต่าง ๆเช่นขายลดเช็ค ฯลฯ ผู้ค้ำประกัน (จำเลยที่ 2) ยอมเข้าค้ำประกันชำระหนี้ดังกล่าวมาของลูกหนี้ ภายในวงเงิน 2,500,000 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 17 ต่อปี ตลอดจนเงื่อนไขต่าง ๆ ในสัญญาที่ก่อให้เกิดภาระหนี้นั้นไม่ว่าหนี้เครดิตสินเชื่อหรือความรับผิดชอบนั้น จะมีอยู่แล้วในเวลานี้หรือต่อไปในภายหน้าทั้งนี้จนกว่าเจ้าหนี้ (โจทก์) จะได้รับชำระหนี้หรือได้รับชดใช้มิได้ ใน เชิง ข้อความดังกล่าวนี้แจ้งชัดว่าจำเลยที่ค้ำประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 ในวงเงินจำกัดเพียง 2,500,000 บาทแต่รวมทั้งดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 17 ต่อปี ของวงเงินค้ำประกันดังกล่าวด้วย หาได้มีความหมายว่าจำเลยที่ 2 ค้ำประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 ทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยรวมวงเงินไม่เกิน 2,500,000 บาท
พิพากษายืน

Share