แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คู่ความตกลงท้ากันให้ถือเอาผลการรังวัดของเจ้าพนักงานที่ดินเป็นข้อแพ้ชนะโดยไม่ติดใจสืบพยานต่อไปอีกเมื่อเจ้าพนักงานที่ดินรังวัดสอบเขตที่ดินทำแผนที่พิพาทเสร็จศาลได้ให้คู่ความตรวจดูแผนที่ คู่ความแถลงว่าเจ้าพนักงานจัดทำขึ้นตรงตามคำท้าแล้ว การที่จำเลยเพิ่มมาอ้างในชั้นฎีกาว่า เจ้าพนักงานที่ดินรังวัดไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการ ไม่แจ้งเจ้าของที่ดินข้างเคียงให้ไประวังแนวเขตโดยจำเลยไม่เคยคัดค้านต่อศาลชั้นต้นตามข้ออ้างดังกล่าว และอ้างว่าได้ยื่นคำร้องสำรวจแนวเขตใหม่ต่อเจ้าพนักงานที่ดินผลการรังวัดปรากฎว่าจำเลยไม่ได้รุกล้ำที่ดินของโจทก์ จึงเป็นฎีกาในข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง เจ้าพนักงานที่ดินจัดทำแผนที่พิพาทขึ้นตรงตามคำท้าแล้วแม้เจ้าพนักงานที่ดินไม่ขอแถลงว่า ที่พิพาทเป็นของฝ่ายใดแต่ในการท้ากันคู่ความก็มิได้ตกลงกันว่าให้เจ้าพนักงานที่ดินเสนอความเห็นด้วย ศาลจึงใช้แผนที่พิพาทในการวินิจฉัยปัญหาตามที่คู่ความท้ากันได้ ไม่เป็นการวินิจฉัยนอกเหนือคำท้า
ย่อยาว
โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า จำเลยที่ 1 นำเจ้าหน้าที่ที่ดินทำการรังวัด น.ส.3 ก. เลขที่ 981 รุกล้ำที่ดินของโจทก์ทั้งสองกับจำเลยทั้งสองได้สร้างบ้านพักอาศัยรุกล้ำเข้ามาในที่ดินของโจทก์ทั้งสองเนื้อที่ 6 ตารางเมตร และกั้นรั้วลวดหนามรุกล้ำเข้ามาในที่ดินของโจทก์ทั้งสอง ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างซึ่งเป็นอาคารบ้านพักอาศัยออกจากที่ดินของโจทก์ทั้งสองตามแผนที่ท้ายฟ้อง มีความกว้าง 2 เมตร ยาว 3 เมตร ให้จำเลยทั้งสองรื้อรั้วด้านหลังที่ดินและอาคารของโจทก์ทั้งสองตามแผนที่ท้ายฟ้อง
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 1 ทำรั้วลวดหนามตามแนวเขตทีดินตลอดมา สิ่งปลูกสร้างของจำเลยทั้งสองอยู่ในเขต น.ส.3 ก.ของจำเลยที่ 1 ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรื้อถอนบ้านและรั้วลวดหนามที่สร้างรุกล้ำที่ดินของโจทก์ทั้งสอง ตาม น.ส.3เลขที่ 644 เป็นเนื้อที่ 1.3 ตารางวา และตามโฉนดเลขที่ 7018 เป็นเนื้อที่ 0.5 ตารางวา ตามที่ปรากฎในแผนที่พิพาท ส่วนที่แรเงาด้วยเส้นสีเขียวและสีส้มตามลำดับออกไปจากที่ดินของโจทก์ทั้งสองดังกล่าว
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 3 จำเลยที่ 1 ถึงแก่กรรมนายเอกราชบุตรของจำเลยที่ 1 ขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำสั่งอนุญาต
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกาโดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์จำเลยตกลงท้ากันในวันชี้สองสถานให้เจ้าพนักงานที่ดินไปรังวัดสอบเขตที่ดินตามหนังสือรับรอการทำประโยชน์ทั้งสามแปลงของคู่ความทั้งสองฝ่ายว่าเมื่อหักแบ่งสร้างถนนแล้ว ปัจจุบันมีแนวเขตคงเหลือเพียงใด โดยให้รังวัดสอบเขตจากเอกสารที่มีอยู่และหลักฐานในที่ดิน มิต้องให้คู่ความนำชี้ แล้วจัดทำแผนที่พิพาทแสดงแนวเขตที่ดินของทั้งสองฝ่ายและถนนรวมทั้งบ้านและรั้วของจำเลยด้วย เสร็จแล้วให้ส่งแผนที่พิพาทต่อศาลเพื่อจะได้ทราบว่า จำเลยสร้างบ้านและรั้วรุกล้ำที่ดินของโจทก์หรือไม่ โดยคู่ความให้ถือเอาผลการรังวัดของเจ้าพนักงานที่ดินเป็นข้อแพ้ชนะกัน ไม่ติดใจสืบพยานต่อไปอีก ขณะทำแผนที่พิพาททนายอำเภอเกาะสมุยแจ้งว่าที่ดินตาม น.ส.3 ก. เลขที่ 1738 ได้เปลี่ยนเป็นโฉนดเลขที่ 7018 แล้ว ต่อมาเมื่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสุราษฎร์ธานี สาขาเกาะสมุย รังวัดที่พิพาทเสร็จและส่งแผนที่พิพาทต่อศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นให้คู่ความตรวจดูแผนที่พิพาทแล้ว แถลงว่าเจ้าพนักงานที่ดินจัดทำขึ้นตรงตามคำท้าแล้ว ฯลฯ ดังนี้ แผนที่พิพาทเจ้าพนักงานที่ดินจัดทำขึ้นตามคำท้าของคู่ความ และตามคำสั่งของศาลชั้นต้น ซึ่งเมื่อเจ้าพนักงานที่ดินจัดทำเสร็จและส่งแผนที่พิพาทต่อศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นได้ให้คู่ความตรวจดูแผนที่พิพาทแล้วแถลงว่าเจ้าพนักงานจัดทำขึ้นตรงตามคำท้าแล้ว ตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 19 ตุลาคม 2533 ของศาลชั้นต้น จำเลยทั้งสองไม่เคยคัดค้านต่อศาลชั้นต้นเลยว่า การทำแผนที่พิพาทไม่ถูกต้องตรงกับความเป็นจริงตามหลักวิชาการและเอกสารในที่ดิน จำเลยทั้งสองเพิ่งมาอ้างในชั้นฎีกาว่า เจ้าพนักงานที่ดินรังวัดไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการไม่แจ้งเจ้าของที่ดินข้างเคียงให้ไประวังแนวเขตและอ้างว่า ภายหลังจำเลยที่ 1 ได้ยื่นคำร้องสำรวจแนวเขตใหม่ต่อเจ้าพนักงานที่ดินผลการรังวัดปรากฎว่า จำเลยทั้งสองสร้างบ้านอยู่ในระยะ 77 เมตร ซึ่งเป็นที่ดินของจำเลยที่ 1 ไม่ได้รุกล้ำที่ดินของโจทก์ ปรากฎตามเอกสารแผนที่และภาพถ่ายท้ายฎีกานั้น ข้อเท็จจริงเหล่านี้ล้วนแต่เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 อันต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย กรณีจึงต้องฟังว่า แผนที่พิพาทเจ้าพนักงานที่ดินจัดทำขึ้นตรงตามคำท้าแล้ว ดังที่คู่ความแถลงรับต่อศาลชั้นต้นศาลจึงใช้แผนที่พิพาทในการวินิจฉัยปัญหาตามที่คู่ความท้ากันได้ส่วนที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า ที่พิพาททั้งสองแปลงเป็นของจำเลยทั้งสองนั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์ทั้งสอง
ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า เจ้าพนักงานที่ดินไม่ขอแถลงว่าที่พิพาทเป็นของฝ่ายใด การรังวัดทำแผนที่พิพาทจึงมิได้เป็นไปตามคำท้าและการที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่า ที่พิพาททั้งสองแปลงเป็นของโจทก์ทั้งสองเป็นการวินิจฉัยนอกเหนือคำท้านั้น เห็นว่า ตามรายงานกระบวนพิจารณา ลงวันที่ 11 เมษายน 2533 ของศาลชั้นต้น คู่ความตกลงกันให้เจ้าพนักงานที่ดินจัดทำแผนที่พิพาท แสดงแนวเขตที่ดินของทั้งสองฝ่ายและถนนรวมทั้งบ้านและรั้วของจำเลยด้วย เสร็จแล้วให้ส่งแผนที่พิพาทต่อศาลเพื่อจะได้ทราบว่าจำเลยสร้างบ้านและรั้วรุกล้ำที่ดินของโจทก์หรือไม่ โดยคู่ความยอมให้ถือเอาผลการังวัดของเจ้าพนักงานที่ดินเป็นข้อแพ้ชนะกัน ไม่ติดใจสืบพยานต่อไปอีก ดังนี้เห็นว่า คู่ความมิได้ตกลงกันว่าให้เจ้าพนักงานที่ดินเสนอความเห็นด้วยว่าที่พิพาทเป็นของฝ่ายใดดังที่จำเลยทั้งสองฎีกา เมื่อเจ้าพนักงานที่ดินจัดทำแผนที่พิพาทเสร็จ และเสนอต่อศาลย่อมถือได้ว่ากระทำไปตามที่คู่ความตกลงท้ากันและตามคำสั่งศาลชั้นต้นแล้วศาลชั้นต้นก็จะต้องพิจารณาผลการรังวัดของเจ้าพนักงานที่ดินตามแผนที่พิพาทและเอกสารหลักฐานเกี่ยวกับที่ดินและพิพากษาต่อไปตามรูปคดีการที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าที่พิพาททั้งสองแปลงเป็นของโจทก์ทั้งสองนั้นหาได้เป็นการวินิจฉัยนอกเหนือคำท้าดังจำเลยทั้งสองฎีกาไม่
พิพากษายืน