คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6645/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ปัญหาว่าที่ดินพิพาทเป็นของ พ.ที่ขายให้แก่โจทก์หรือไม่หากไม่ใช่โจทก์ย่อมไม่ได้กรรมสิทธิ์ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่ในข้อนี้แม้ศาลอุทธรณ์จะฟังว่าที่ดินพิพาทเป็นของ พ. ซึ่งขายให้แก่โจทก์ และจำเลยมิได้ฎีกาโต้แย้งมา ศาลฎีกาก็สามารถฟังข้อเท็จจริงใหม่ที่ถูกต้องได้ เพราะเป็นข้อที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อปลายปี 2521 ว.เจ้าของที่ดินพิพาทได้บอกขายที่ดินให้แก่จำเลยที่ 1 ก่อนบอกขาย ว.ได้มาดูแลที่ดินพิพาทโดยนำต้นไม้มาปลูกประมาณเดือนละ 2 ครั้ง จำเลยทั้งสองจึงร่วมกันซื้อมาและใช้เป็นที่ปลูกบ้านอยู่อาศัย หลังจากนั้นจึงทราบว่าที่ดินพิพาทเป็นโฉนดเลขที่ 23587 โดยมีชื่อ พ. เป็นเจ้าของ ดังนี้ จำเลยทั้งสองมีเจตนาจะซื้อที่ดินพิพาทมาจากว.ซึ่งในขณะนั้นว.ได้ครอบครองเป็นเจ้าของอยู่เป็นสำคัญยิ่งกว่าที่ดินแปลงตามหน้าโฉนดเลขที่ 23586 ที่จดทะเบียนโอนต่อกัน จึงไม่ทำให้จำเลยทั้งสองได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงโฉนดเลขที่ 23586 แต่อย่างใด และเมื่อที่ดินพิพาทเป็นที่ดินของ ว.ไม่ใช่ของพ.แม้ที่ดินพิพาทจะมีชื่อพ.ในโฉนดดังกล่าวก็หาทำให้ พ. อ้างเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินซึ่งพ. มิได้มีเจตนารับโอนหาได้ไม่และการที่โจทก์รับโอนโฉนดต่อมาจาก พ. โจทก์ก็จะอ้างเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทไม่ได้เช่นกัน ที่ดินพิพาทจึงเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยทั้งสองด้วยการซื้อมาจาก ว. โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์และจำเลยทั้งสองจะว่ากล่าวเป็นคดีเรื่องใหม่และกรณีเช่นนี้จำเลยที่ 1 ก็มิได้ครอบครองที่ดินพิพาทโดยปรปักษ์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ซื้อที่ดินตามโฉนดเลขที่ 23587ตั้งแต่เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2532 โจทก์ไปตรวจสอบหลักเขตที่ดินจึงทราบว่าจำเลยทั้งสองเข้าไปปลูกบ้านเลขที่ 19/33บนที่ดินของโจทก์ดังกล่าว โจทก์ได้แจ้งให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนขนย้ายออกไป แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันรื้อถอนบ้านเลขที่ 19-33 หมู่ที่ 7 ออกไปจากที่ดินของโจทก์และส่งมอบที่ดินคืนโจทก์ในสภาพเดิม หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตาม โจทก์ขอเป็นผู้รื้อถอนโดยให้จำเลยทั้งสองเป็นผู้ชำระค่าใช้จ่าย
จำเลยทั้งสองให้การและจำเลยที่ 1 ฟ้องแย้งว่า เดิมที่ดินพิพาทเป็นของนายพิสุทธิ์ โพธิ์ครึกครื้น จำเลยที่ 1ได้เข้าครอบครองที่ดินแปลงดังกล่าวทั้งหมดในฐานะเป็นเจ้าของตั้งแต่ต้นปี 2522 โดยปลูกบ้านเลขที่ 19/33 อยู่อาศัยตลอดมาโดยสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันจนถึงปัจจุบันเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว จำเลยที 1 จึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโจทก์และนายพิสุทธิ์ทำการซื้อขายที่ดินพิพาทและจดทะเบียนโดยไม่สุจริต โจทก์ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท ไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่ ขอให้ยกฟ้องโจทก์ และพิพากษาว่าที่ดินพิพาทตามโฉนดเลขที่ 23587 เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 โดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 และให้เพิกถอนการจดทะเบียนที่ดินพิพาทระหว่างนายพิสุทธิ์กับโจทก์
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยที่ 1 ซื้อที่ดินอีกแปลงหนึ่งซึ่งอยู่ติดกับที่ดินดังกล่าวของโจทก์ แต่ปลูกบ้านลงบนที่ดินพิพาทของโจทก์ และจำเลยที่ 1 ครอบครองที่ดินมายังไม่ถึง 10 ปี จึงไม่อาจยกขึ้นต่อสู้โจทก์ซึ่งได้ที่ดินพิพาทมาโดยเสียค่าตอบแทนโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตขอให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ และยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โดยไม่ตัดสิทธิของโจทก์ จำเลยที่ 1และที่ 2 ที่จะว่ากล่าวเป็นคดีใหม่
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เห็นควรวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของนายพิสุทธิ์ โพธิ์ครึกครื้น ที่ขายให้แก่โจทก์หรือไม่ หากไม่ใช่ โจทก์ย่อมไม่ได้กรรมสิทธิ์ ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่ ในข้อนี้แม้ศาลอุทธรณ์จะฟังว่าที่ดินพิพาทเป็นของนายพิสุทธิ์ซึ่งขายให้แก่โจทก์ และจำเลยมิได้ฎีกาโต้แย้งมา ศาลฎีกาก็สามารถฟังข้อเท็จจริงใหม่ที่ถูกต้องได้ เพราะเป็นข้อที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ปัญหานี้ได้ความจากคำเบิกความของพยานจำเลยว่า เมื่อปลายปี 2521 นายวิชัย ร่มโพธิ์ เจ้าของที่ดินพิพาทได้บอกขายที่ดินให้แก่จำเลยที่ 1 ซึ่งก่อนบอกขายนายวิชัยได้มาดูแลที่ดินพิพาทโดยนำต้นไม้มาปลูกประมาณเดือนละ 2 ครั้งจำเลยทั้งสองจึงร่วมกันซื้อมาและใช้เป็นที่ปลูกบ้านอยู่อาศัยหลังจากนั้นจึงทราบว่าที่ดินพิพาทเป็นโฉนดเลขที่ 23587 โดยมีชื่อนายพิสุทธิ์เป็นเจ้าของ ดังนี้เห็นว่าจำเลยทั้งสองมีเจตนาจะซื้อที่ดินพิพาทจากนายวิชัย ซึ่งในขณะนั้นนายวิชัยได้ครอบครองเป็นเจ้าของอยู่เป็นสำคัญยิ่งกว่าที่ดินแปลงตามหน้าโฉนดเลขที่ 23586 ที่จดทะเบียนโอนต่อกัน จึงไม่ทำให้จำเลยทั้งสองได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงโฉนดเลขที่ 23586 แต่อย่างใดสำหรับที่ดินแปลงพิพาทนี้ ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงฟังว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่ที่ดินแปลงที่นายพิสุทธิ์ตกลงซื้อมาจากนายเหรียญแต่อย่างใด โดยเฉพาะนายสมศักดิ์ผู้บอกขายเป็นคนอยู่ในซอยเดียวกันกับโจทก์ ซึ่งทั้งโจทก์และนางสาวนันทนารู้จักคุ้นเคยมาเป็นเวลานานแล้ว ย่อมไม่หลอกลวงบอกขายที่ดินของนายพิสุทธิ์ด้วยการชี้ที่ดินแปลงอื่นให้ดูแทนไปได้ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินของนายวิชัยหาใช่ของนายพิสุทธิ์ไม่แม้ที่ดินพิพาทจะมีชื่อนายพิสุทธิ์ในโฉนดก็หาทำให้นายพิสุทธิ์อ้างเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินซึ่งนายพิสุทธิ์มิได้มีเจตนารับโอนมาได้ไม่ และการที่โจทก์รับโอนโฉนดต่อมาจากนายพิสุทธิ์ โจทก์ก็จะอ้างเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทไม่ได้เช่นกัน ที่ดินพิพาทจึงเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยทั้งสองด้วยการซื้อมาจากนายวิชัย โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องและจำเลยที่ 1 มิได้ครอบครองที่ดินพิพาทโดยปรปักษ์ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยฟังว่าที่ดินพิพาทและบ้านเลขที่19/33 ที่จำเลยที่ 1 ปลูกอยู่บนที่พิพาทเป็นของโจทก์แต่โจทก์ต้องใช้ค่าแห่งที่ดินที่เพิ่มขึ้นเพราะการสร้างบ้านดังกล่าวแก่จำเลยที่ 1 ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ส่วนที่พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นโดยให้ยกฟ้องโจทก์และยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 โดยไม่ตัดสิทธิโจทก์และจำเลยทั้งสองจะว่ากล่าวเป็นคดีเรื่องใหม่นั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ดังนี้ คดีจึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลยที่ 1 ต่อไป
พิพากษายืน

Share