แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 228 วรรคสาม เป็นดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ที่จะสั่งให้ศาลชั้นต้นงดการพิจารณาไว้ในระหว่างอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้น ที่ไม่รับฟ้องแย้งและคำร้องของจำเลยที่ขอให้เรียกบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นจำเลยร่วมหรือไม่ก็ได้จนกว่าศาลอุทธรณ์จะได้วินิจฉัยชี้ขาดอุทธรณ์นั้น คำสั่งของศาลอุทธรณ์ที่ไม่ให้ ศาลชั้นต้นงดการพิจารณาไว้ในระหว่างอุทธรณ์ในกรณีดังกล่าวจึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามมาตรา 226(1) ประกอบด้วยมาตรา 247
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 กู้ยืมเงินไปจากโจทก์โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน และจำเลยที่ 1 นำที่ดินเฉพาะส่วนและสิ่งปลูกสร้างมาจดทะเบียนจำนองเป็นประกันหนี้ต่อมาจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาไม่ชำระหนี้โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ 1 ให้การและฟ้องแย้งว่า นิติกรรมตามสัญญากู้และสัญญาจำนองเป็นโมฆะเนื่องจากเกิดขึ้นจากการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย กล่าวคือโจทก์และพนักงานของโจทก์ได้สมคบกับบริษัทเดอะสวีท ทามารีน ปาร์ค จำกัด หลอกลวงขายที่ดินสวนเกษตรโครงการสวนเกษตรเดอะ สวีท ทามารีน ปาร์ค โดยโจทก์เป็นผู้สนับสนุนโครงการและจัดแบ่งขายให้แก่ผู้ซื้อแปลงละ 2 ไร่พร้อมทั้งจัดสาธารณูปโภค จากการหลอกลวงให้จำเลยที่ 1 สำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญ ทำให้จำเลยที่ 1 ตกลงซื้อที่ดินหนึ่งแปลงตามโครงการดังกล่าว ต่อมาจำเลยที่ 1 ทราบความจริงว่าโครงการสวนเกษตรได้มีขึ้นเพื่อหลอกลวงประชาชน และที่ดินก็มิใช่เป็นของบริษัทเดอะ สวีท ทามารีน ปาร์ค จำกัดและไม่อาจแบ่งแยกได้เป็นแปลง ๆ ตามที่จำเลยที่ 1 ตกลงซื้อการกู้ยืมและจำนองที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นการทำนิติกรรมอันไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์จำเลยที่ 1 ขอฟ้องแย้งให้โจทก์และบริษัทเดอะ สวีท ทามารีน ปาร์คจำกัด และนายวัฒนา มูลประหัส เจ้าของที่ดินร่วมรับผิดต่อจำเลยที่ 1 ในเงินค่ามัดจำสัญญาซื้อที่ดิน 20,000 บาทค่าจดทะเบียนจำนอง 11,700 บาท และเงินกู้ที่ผ่อนชำระไปแล้วเป็นเงิน 215,000 บาท รวมเป็นเงิน 246,700 บาท และขอให้มีคำสั่งเรียกบริษัทเดอะ สวีท ทามารีน ปาร์ค จำกัด และนายวัฒนา มูลประหัส มาเป็นจำเลยร่วมด้วย
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับเฉพาะคำให้การของจำเลยที่ 1ส่วนคำฟ้องแย้งและคำร้องขอให้เรียกบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นคู่ความนั้นไม่รับและยกคำร้อง
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับฟ้องแย้งและคำร้องขอให้เรียกบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นคู่ความ พร้อมทั้งยื่นคำร้องขอให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นงดการพิจารณาไว้ในระหว่างอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งคำร้องของจำเลยที่ 1 ว่า ไม่มีเหตุที่จะให้ศาลชั้นต้นงดการพิจารณาไว้ในระหว่างอุทธรณ์ ให้ยกคำร้อง
จำเลยที่ 1 ฎีกาคำสั่ง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่า มีเหตุสมควรที่จะให้ศาลชั้นต้นงดการพิจารณาคดีไว้ในระหว่างรอการวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์เกี่ยวกับฟ้องแย้งและคำร้องขอให้เรียกบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นคู่ความในคดีที่จำเลยที 1 อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นหรือไม่
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 228 วรรคสาม เป็นดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ที่จะสั่งให้ศาลชั้นต้นงดการพิจารณาไว้ในระหว่างอุทธรณ์คำสั่งหรือไม่ก็ได้จนกว่าศาลอุทธรณ์จะได้วินิจฉัยชี้ขาดอุทธรณ์นั้น คำสั่งนี้จึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226(1) ประกอบด้วยมาตรา 247 ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยที่ 1 มานั้นจึงไม่ชอบศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย”
พิพากษายกฎีกาของจำเลยที่ 1