คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6190/2538

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยวางเงินประกันการเช่าอาคารไว้แก่ผู้ให้เช่าเดิมการคืนเงินประกันให้จำเลยเมื่อมีการเลิกการเช่าเป็นเพียงสิทธิ และหน้าที่อื่นตามสัญญาเช่า ไม่ใช่สาระสำคัญเกี่ยวกับสัญญาเช่าจึงไม่ใช่หน้าที่ตามสัญญาเช่าที่โจทก์ในฐานะผู้รับโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์ที่ให้เช่าจะต้องรับผิด โจทก์จึงไม่จำต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 569 วรรคสองที่จะต้องคืนเงินประกันให้จำเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยซึ่งเดิมใช้ชื่อว่าบริษัทเครดิตฟองซิเอร์สากลสยาม จำกัด ได้ตกลงเช่าอาคารเลขที่ 260 เฉพาะชั้นที่ 1พร้อมเครื่องปรับอากาศและเฟอร์นิเจอร์ของโจทก์โดยโจทก์รับโอนกรรมสิทธิ์มาจากบริษัทโอเอ็สเอ็สโฮลดิ้งส์ จำกัดเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2527 ในอัตราค่าเช่าเดือนละ 60,000 บาทค่ากระแสไฟฟ้าแต่ละเดือนจำเลยเป็นผู้ชำระตามที่ใช้ไปจริง ต่อมาโจทก์จำเลยตกลงค่าเช่ากันใหม่เป็นเดือนละ 66,000 บาท นับแต่เดือนธันวาคม2529 เป็นต้นไป จำเลยได้ชำระค่าเช่าและค่ากระแสไฟฟ้าให้แก่โจทก์ตลอดมา คงค้างค่าเช่าเดือนตุลาคม 2530 เป็นเงิน 66,000 บาทค่ากระแสไฟฟ้าเดือนสิงหาคม กันยายนและตุลาคม 2530 เป็นเงิน16,717.70 บาท 12,481.59 บาท และ 16,845.45 บาท ตามลำดับรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 112,044.74 บาท โจทก์ทวงถามแล้ว จำเลยไม่ชำระให้ โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากยอดเงินต้นแต่ละยอดดังกล่าวถึงวันฟ้อง รวมเงินต้นและดอกเบี้ยเป็นเงิน 115,948.39 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน115,948.39 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงิน112,044.74 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจนชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยก่อตั้งขึ้นโดยการควบบริษัท6 บริษัทเข้าด้วยกันเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2530บริษัทเครดิตฟองซิเอร์สากลสยาม จำกัด เป็นบริษัท 1 ใน 5 บริษัทดังกล่าว เดิมบริษัทเครดิตฟองซิเอร์สากลสยาม จำกัด ได้ตกลงเช่าอาคารตามฟ้องพร้อมเครื่องปรับอากาศและเฟอร์นิเจอร์จากบริษัทสุทัย จำกัด โดยชำระเงินประกันการเช่าให้แก่บริษัทดังกล่าวเป็นเงิน 180,000 บาท ผู้ให้เช่าจะคืนเงินดังกล่าวให้แก่ผู้เช่าเมื่อครบสัญญาเช่า หรือผู้เช่าไม่ประสงค์จะเช่าต่อไป ต่อมาระหว่างการเช่ายังไม่สิ้นสุด บริษัทสุทัย จำกัด ได้โอนกรรมสิทธิ์ในอาคารที่ให้เช่าดังกล่าวพร้อมเครื่องปรับอากาศและเฟอร์นิเจอร์ให้แก่บริษัทโอเอ็สเอ็สโฮลดิ้งส์ จำกัด ซึ่งผู้รับโอนดังกล่าวได้ตั้งและเชิดบริษัทเตรียมสิน จำกัด เป็นตัวแทนและตัวแทนค้าต่างดูแลผลประโยชน์ในอาคารที่เช่าดังกล่าว บริษัทเครดิตฟองซิเอร์สากลสยาม จำกัด จึงได้ทำสัญญาเช่าฉบับใหม่กับบริษัทเตรียมสินจำกัด ตามสัญญาเช่าฉบับใหม่ให้ถือว่าเงินประกันการเช่าดังกล่าวแล้วเป็นเงินที่ได้วางมัดจำไว้ตามสัญญาเช่าฉบับใหม่ด้วย บริษัทโอเอ็สเอ็สโฮสดิ้งส์ จำกัด ต้องคืนให้แก่บริษัทเครดิตฟองซิเอร์สากลสยาม จำกัด เมื่อการเช่าสิ้นสุดลง ต่อมาระหว่างการเช่ายังไม่สิ้นสุด บริษัทโอเอ็สเอ็สโฮลดิ้งส์ จำกัด ได้โอนกรรมสิทธิ์ในอาคารที่ให้เช่าพร้อมเครื่องปรับอากาศและเฟอร์นิเจอร์ให้แก่โจทก์บริษัทเครดิตฟองซิเอร์สากลสยาม จำกัด จึงได้ชำระค่าเช่าให้แก่โจทก์ตลอดมา เมื่อจำเลยก่อตั้งขึ้นมาแล้วย่อมได้รับสิทธิของบริษัทเครดิตฟองซิเอร์สากลสยาม จำกัด ที่มีต่ออาคารที่เช่าซึ่งเมื่อโจทก์จำเลยได้ตกลงเลิกการเช่าอาคารดังกล่าวพร้อมเครื่องปรับอากาศและเฟอร์นิเจอร์แล้วโจทก์มีหน้าที่ต้องคืนเงินประกันการเช่าดังกล่าวแล้วให้แก่จำเลย จำเลยได้แสดงเจตนาหักกลบลบหนี้ค่าเช่าเดือนตุลาคม 2530 และค่ากระแสไฟฟ้าเดือนสิงหาคมถึงตุลาคม 2530 ที่จำเลยจะต้องชำระให้แก่โจทก์กับเงินประกันการเช่าจำนวน 180,000 บาท แล้วคงเหลือเงินที่โจทก์ต้องคืนให้แก่จำเลยจำนวน 67,955.26 บาท ขอให้ยกฟ้อง และบังคับให้โจทก์ชำระเงินจำนวน 67,955.26 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับตั้งแต่วันฟ้องแย้งจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า หลังจากโจทก์รับโอนกรรมสิทธิ์ในอาคารที่จำเลยเช่ามาแล้ว โจทก์จำเลยได้ตกลงทำสัญญาเช่ากันใหม่ไม่เกี่ยวกับสัญญาเช่าเดิมที่ระงับไปแล้ว จำเลยจะยกข้อสัญญาเดิมมาให้โจทก์ต้องรับผิดโดยการขอหักกลบลบหนี้ไม่ได้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ชำระเงินจำนวน67,955.26 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องแย้งจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 115,948.39บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงิน 112,044.74 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้ยกฟ้องแย้งจำเลย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีคงมีปัญหาวินิจฉัยในปัญหาข้อกฎหมายเพียงว่า โจทก์ในฐานะผู้รับโอนมีหน้าที่ตามสัญญาเช่าที่ต้องคืนเงินประกันการเช่าหรือเงินมัดจำให้แก่จำเลยหรือไม่ ในปัญหาข้อกฎหมายนี้ ข้อเท็จจริงฟังยุติตามที่ศาลอุทธรณ์รับฟังมาว่าเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2526 บริษัทเครดิตฟองซิเอร์สากลสยาม จำกัดได้ทำสัญญาเช่าอาคารสุริโยทัย เลขที่ 260 ถนนพหลโยธินแขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร เฉพาะชั้นที่ 1พร้อมเครื่องปรับอากาศและเฟอร์นิเจอร์จากบริษัทสุทัย จำกัดโดยผู้เช่าได้ชำระเงินประกันการเช่าให้แก่ผู้ให้เช่าจำนวน180,000 บาท เมื่อครบอายุสัญญาเช่า ผู้เช่าไม่เช่าต่อไป ผู้ให้เช่าต้องคืนเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่ผู้เช่า ในระหว่างอายุสัญญาปรากฏว่าบริษัทสุทัย จำกัด ได้โอนกรรมสิทธิ์ในอาคารที่เช่าให้แก่บริษัทโอเอ็สเอ็สโฮสดิ้งส์ จำกัด และผู้รับโอนได้มอบให้บริษัทเตรียมสิน จำกัด เป็นผู้จัดการดูแลผลประโยชน์ในอาคารที่ให้เช่าแทนบริษัทเครดิตฟองซิเอร์สากลสยาม จำกัด จึงได้ทำสัญญาเช่าเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2527 กับบริษัทเตรียมสิน จำกัด โดยมีข้อตกลงกันว่า เพื่อเป็นประกันการปฏิบัติตามสัญญาผู้เช่าตกลงวางเงินมัดจำให้แก่ผู้ให้เช่าจำนวน 180,000 บาท โดยผู้ให้เช่าสัญญาว่าจะคืนเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่ผู้เช่าเมื่อผู้ให้เช่าได้ตรวจรับทรัพย์ที่เช่าคืนจากผู้เช่าแล้ว ต่อมาในระหว่างอายุสัญญาเช่ายังไม่สิ้นสุดบริษัทโอเอ็สโฮลดิ้งส์ จำกัด ได้โอนกรรมสิทธิ์ในอาคารที่ให้เช่าแก่โจทก์พร้อมกับมีหนังสือแจ้งให้ผู้เช่าชำระค่าเช่าของเดือนธันวาคม2527 เป็นต้นไปแก่โจทก์ และเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2530บริษัทเครดิตฟองซิเอร์สากลสยาม จำกัด ได้ควบเข้ากันกับบริษัทอื่นอีก 5 บริษัท ตั้งเป็นบริษัทใหม่คือจำเลย ต่อมาจำเลยได้บอกเลิกสัญญาเช่าตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2530 ต่อโจทก์ และได้ขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากอาคารที่เช่าแล้ว ปรากฏว่าจำเลยยังค้างชำระค่าเช่าค่ากระแสไฟฟ้าต่อโจทก์เป็นเงิน 112,044.74 บาท และดอกเบี้ยถึงวันฟ้องอีกเป็นเงิน 3,903.65 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 115,948.39บาท ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 569 วรรคสอง บัญญัติว่า ฯลฯ ผู้รับโอนย่อมรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอน ซึ่งมีต่อผู้เช่านั้นด้วย” เห็นว่า การคืนเงินประกันดังกล่าวให้แก่จำเลยนั้นเป็นเพียงสิทธิและหน้าที่อื่นตามสัญญาเช่าไม่ใช่สาระสำคัญเกี่ยวกับสัญญาเช่า จึงหาใช่หน้าที่ตามสัญญาเช่าที่โจทก์ในฐานะผู้รับโอนจะต้องรับผิดและปฏิบัติตามไม่ โจทก์จึงไม่จำต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว ดังนั้นจำเลยจึงไม่มีสิทธิหักกลบลบหนี้ตามฟ้องแย้ง ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share