แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นทั้งในส่วนของฟ้องเดิมและส่วนของฟ้องแย้ง จำเลยเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ในส่วนของฟ้องเดิมครบแล้ว แต่ไม่ได้เสียค่าขึ้นศาลในส่วนของฟ้องแย้ง ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้จำเลยเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ในส่วนของฟ้องแย้งให้ครบ จำเลยเพิกเฉยไม่ดำเนินการภายในเวลาที่ศาลกำหนด ถือว่าจำเลยทิ้งฟ้องอุทธรณ์ในส่วนของฟ้องแย้ง ซึ่งศาลอุทธรณ์จะสั่งจำหน่ายคดีชั้นอุทธรณ์เฉพาะในส่วนฟ้องแย้งเท่านั้น จะสั่งจำหน่ายคดีทั้งหมดรวมทั้งอุทธรณ์ในส่วนของฟ้องเดิมด้วยไม่ได้
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระหนี้ค่าจ้างออกแบบต่อเติมตกแต่งอาคารและค่าควบคุมงานเป็นเงินทั้งสิ้น 125,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ออกแบบไม่ได้สัดส่วนไม่ได้มาตรฐานทำให้ต้องรื้อและแก้ไขใหม่ ทำให้งานล่าช้าไม่เสร็จตามกำหนด จำเลยต้องว่าจ้างบุคคลอื่นแก้ไขและก่อสร้างจนเสร็จเป็นเหตุให้จำเลยเสียหายเป็นจำนวนเงิน 200,000 บาท ขอให้ยกฟ้องโจทก์และบังคับโจทก์ชดใช้ค่าเสียหายจำนวนเงินดังกล่าว
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 125,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี และให้ยกฟ้องแย้งของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ให้ศาลชั้นต้นเรียกค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์จากจำเลยให้ครบก่อนอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้งดอ่านคำพิพากษาและส่งคำพิพากษาพร้อมสำเนาคืนศาลอุทธรณ์
ศาลชั้นต้นได้หมายแจ้งวันนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และคำสั่งที่ให้จำเลยเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ให้ครบให้แก่จำเลยโดยชอบแล้ว ครั้นถึงวันนัด จำเลยไม่ไปศาลและมิได้เสียค่าขึ้นศาลตามคำสั่ง ศาลชั้นต้นจึงส่งคำพิพากษาและสำนวนคืนศาลอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยและทนายจำเลยได้ทราบคำสั่งศาลให้เสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ส่วนที่ขาดโดยชอบแล้วเพิกเฉยไม่เสียให้ครบถ้วนตามคำสั่งศาล ถือว่าจำเลยทิ้งฟ้องอุทธรณ์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174(2), 132(1)ประกอบด้วยมาตรา 246 มีคำสั่งให้จำหน่ายคดีจำเลยออกเสียจากสารบบความของศาลอุทธรณ์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อศาลอุทธรณ์ส่งสำนวนคืนศาลชั้นต้นเพื่อเรียกจำเลยเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ให้ครบถ้วนแล้ว ต่อมาเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2535 ศาลชั้นต้นได้ออกหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในวันที่ 16 ธันวาคม 2535 โดยในหมายนัดได้ระบุให้จำเลยนำค่าขึ้นศาลมาเสียก่อนวันอ่านด้วย ทนายจำเลยได้รับหมายนัดเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2535 โดยนางสาววาสนาอายุประมาณ 24 ปี ซึ่งอยู่สำนักงานเดียวกันกับทนายจำเลยเป็นผู้รับหมายไว้แทน แต่เมื่อถึงวันนัดทนายจำเลยไม่มาศาล ศาลชั้นต้นได้เลื่อนไปนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ใหม่ในวันที่ 21 มกราคม 2536 และได้ออกหมายนัดลงวันที่ 17 ธันวาคม 2535 โดยในหมายนัดได้ระบุข้อความไว้ชัดเจนว่าให้จำเลยเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ส่วนที่ขาดก่อนวันนัดฟังคำพิพากษา พนักงานเดินหมายของศาลชั้นต้นได้นำหมายนัดไปส่งให้ทั้งจำเลยและทนายจำเลย เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2535 จำเลยและทนายจำเลยได้รับหมายนัดไว้โดยชอบแล้วแต่เมื่อถึงวันนัด ทั้งจำเลยและทนายจำเลยก็ไม่ไปศาลและไม่ได้เสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ที่ยังขาดอยู่ตามคำสั่งศาล การกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นการเพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาตามที่ศาลเห็นสมควรกำหนดไว้ ถือได้ว่าจำเลยทิ้งฟ้องอุทธรณ์ ที่จำเลยอ้างว่าได้แถลงให้ศาลทราบว่าได้มีการเสียค่าขึ้นศาลในวันที่25 มกราคม 2536 นั้น ก็เป็นการแถลงหลังจากวันที่ศาลชั้นต้นได้นัดอ่านคำพิพากษาในวันที่ 21 มกราคม 2536 ไปแล้ว ศาลอุทธรณ์จึงจำหน่ายคดีได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 132(1) และมาตรา 174(2) ประกอบด้วยมาตรา 246 แต่ตามอุทธรณ์ของจำเลยปรากฏว่าจำเลยได้เสียค่าขึ้นศาลตามทุนทรัพย์ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้วส่วนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ในส่วนทุนทรัพย์ที่จำเลยฟ้องแย้งยังมิได้เสีย ศาลอุทธรณ์จะสั่งจำหน่ายคดีได้เฉพาะฟ้องแย้งของจำเลยเท่านั้น ส่วนอุทธรณ์ที่จำเลยคัดค้านคำพิพากษาของศาลชั้นต้นให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์นั้น เมื่อจำเลยเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ครบถ้วนแล้ว ต้องรับอุทธรณ์ในส่วนนี้ของจำเลยไว้พิจารณา
พิพากษายกคำสั่งศาลอุทธรณ์ ให้ศาลอุทธรณ์รับอุทธรณ์ของจำเลยในส่วนที่เกี่ยวกับคำฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป