คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6458/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยยื่นคำให้การว่า ขอให้การปฏิเสธฟ้องของโจทก์อย่างสิ้นเชิง คำฟ้องใดที่จำเลยไม่ได้ให้การรับไว้โดยชัดแจ้งให้ถือว่าจำเลยปฏิเสธเป็นการปฏิเสธลอย ๆ โดยไม่มีเหตุผลแห่งการปฏิเสธคำให้การของจำเลยจึงไม่ชัดแจ้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง การที่จำเลยมานำสืบข้อเท็จจริงในชั้นพิจารณาไม่ทำให้คำให้การที่ไม่ชัดแจ้งกลายเป็นคำให้การชัดแจ้งไปได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของนายตึก อยู่จิวตามคำสั่งศาลชั้นต้น จำเลยเป็นบุตรนายตึกซึ่งเกิดจากภริยาอีกคนหนึ่งของนายตึก นายตึกเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 79 เนื้อที่ 4 ไร่ 60 ตารางวา โดยถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับโจทก์ เมื่อปี 2518 นายตึกถึงแก่กรรม ที่ดินในส่วนของนายตึกเป็นมรดกตกทอดให้แก่ทายาท โจทก์ได้รวบรวมมรดกของนายตึกเพื่อแบ่งปันให้แก่ทายาทโดยได้เรียกโฉนดที่ดินแปลงดังกล่าวจากจำเลย ซึ่งยืมไปจากนางทองมารดาโจทก์เมื่อประมาณปี 2526 จำเลยไม่ยอมคืนให้ ขอให้บังคับจำเลยส่งมอบโฉนดที่ดินเลขที่ 79 ให้แก่โจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตาม ให้จับกุมคุมขังจำเลยไว้จนกว่าจำเลยจะส่งมอบโฉนดดังกล่าวแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า ก่อนนายตึกถึงแก่กรรม นายตึกได้ยกที่ดินตามฟ้องในส่วนของนายตึกซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกเนื้อที่2 ไร่เศษ ให้แก่จำเลยการยกมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่หลังจากได้รับยกให้แล้ว จำเลยได้เข้าครอบครองโดยความสงบและโดยเปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเกิน 10 ปี แล้วจำเลยจึงได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองและจำเลยได้ยื่นคำร้องขอต่อศาลให้แสดงกรรมสิทธิ์ตามคดีแพ่งคดีหมายเลขแดงที่ 1119/2530ของศาลชั้นต้น แต่ตามคำร้องจำเลยอ้างว่าที่ดินดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ 10488 โดยผิดพลาดไป ที่ถูกที่ดินดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ 79 โจทก์ได้ยื่นคำคัดค้านอ้างว่า ที่ดินดังกล่าวเป็นมรดกของนายตึกศาลชั้นต้นพิพากษาว่าที่ดินดังกล่าว ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย คดีดังกล่าวอยู่ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ส่วนโฉนดที่ดินเลขที่ 79 จำเลยได้อ้างเป็นพยานหลักฐานในคดีดังกล่าว ขอให้ยกฟ้องโจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษาแล้วพิพากษาให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยส่งคืนโฉนดที่ดินเลขที่ 79ให้แก่โจทก์ คำขอนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว จำเลยฎีกาว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยไม่ได้ให้การปฏิเสธโดยชัดแจ้งว่าจำเลยมิได้ยืมโฉนดที่ดินพิพาทไปจากนางทอง ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่าจำเลยยืมโฉนดที่ดินพิพาทจากนางทอง เป็นการวินิจฉัยที่ไม่ชอบเพราะจำเลยได้ให้การไว้โดยชัดแจ้งว่าจำเลยทราบฟ้องโจทก์แล้ว ขอให้การปฏิเสธฟ้องของโจทก์อย่างสิ้นเชิง คำฟ้องใดที่จำเลยไม่ได้ให้การรับไว้โดยชัดแจ้งให้ถือว่าจำเลยปฏิเสธแม้ไม่มีการปฏิเสธว่าไม่ได้ยืมโฉนดมาจากนางทอง ต้องถือว่าจำเลยให้การชัดแจ้งแล้ว ทั้งในชั้นพิจารณาจำเลยก็นำสืบว่าก่อนนายตึกจะตายได้มอบโฉนดที่ดินให้จำเลย ดังนั้นโฉนดที่ดินพิพาทจึงเป็นของจำเลยไม่ใช่ของโจทก์นั้น เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง บัญญัติว่า “ให้จำเลยแสดงโดยชัดแจ้งในคำให้การว่าจำเลยยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วน รวมทั้งเหตุแห่งการนั้น” ตามความในบทบัญญัติดังกล่าวกฎหมายประสงค์ให้จำเลยแสดงเหตุแห่งการที่จำเลยปฏิเสธนั้น มิใช่ว่าเพียงแต่ให้การปฏิเสธมาลอย ๆ โดยไม่มีเหตุผลแห่งการปฏิเสธคำให้การของจำเลยในข้อนี้จึงเป็นคำให้การที่ไม่ชัดแจ้ง ส่วนที่อ้างว่าในชั้นพิจารณาจำเลยก็นำสืบว่าได้โฉนดพิพาทมาอย่างไรนั้น ไม่ทำให้คำให้การที่ไม่ชัดแจ้งกลายเป็นคำให้การชัดแจ้งไปได้
พิพากษายืน

Share