คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4912/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์มอบเงินให้จำเลยเพื่อให้จำเลยจัดส่งโจทก์ไปทำงานต่างประเทศ จำเลยจึงทำสัญญากู้ให้โจทก์โดยไม่มีการมอบเงินตามสัญญากู้การทำสัญญากู้ดังกล่าวเป็นการทำนิติกรรมเพื่อเป็นหลักประกันการที่จำเลยจะส่งโจทก์ไปทำงานต่างประเทศ มิได้ทำขึ้นเพื่อผูกพันสินสมรสของโจทก์โดยเฉพาะสัญญากู้ตามฟ้องจึงมิใช่การจัดการสินสมรสการที่โจทก์นำสัญญากู้มาฟ้องจึงมิใช่การจัดการสินสมรสอันจะต้องได้รับความยินยอมจากคู่สมรส

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ทำสัญญากู้เงินโจทก์ รวมสองครั้งจำนวน 10,000 บาท และ 26,000 บาท การทำสัญญากู้ดังกล่าวเนื่องมาจากจำเลยเรียกเงินค่าใช้จ่ายในการส่งโจทก์ไปทำงานต่างประเทศเป็นเงิน36,000 บาท โจทก์ชำระเงินให้จำเลยครบถ้วนแล้ว จำเลยหลอกลวงส่งโจทก์ไปต่างประเทศแต่ไม่มีงานให้โจทก์ทำ โจทก์ถูกส่งตัวกลับประเทศไทย ต่อมาโจทก์ได้บอกกล่าวทวงถามเงินคืนจากจำเลย จำเลยยอมคืนเงินให้โจทก์เพียง 10,000 บาท ส่วนที่เหลือจำนวน 26,000 บาท จำเลยไม่คืนให้ ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 26,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยถึงวันฟ้อง รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 34,287.50 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า มูลหนี้ของสัญญากู้ตามฟ้องเป็นเรื่องที่จำเลยจัดหางานโดยเรียกหรือรับค่าบริการโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นการต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2511การที่จำเลยเรียกค่าบริการโดยการทำสัญญากู้ให้โจทก์ไว้ สัญญาดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะ ทั้งโจทก์ฟ้องคดีนี้เป็นการทำนิติกรรมกับสินสมรส โดยไม่ได้รับความยินยอมจากคู่สมรส จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน34,287.50 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีว่าโจทก์ฟ้องคดีนี้เกี่ยวกับสินสมรส โดยไม่ได้รับความยินยอมจากคู่สมรสโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องหรือไม่ ปัญหานี้จำเป็นจะต้องวินิจฉัยก่อนว่าสัญญากู้ที่โจทก์นำมาฟ้องเกี่ยวกับสินสมรสหรือไม่ ซึ่งการวินิจฉัยปัญหาดังกล่าว ศาลฎีกาจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2ได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 238 ประกอบด้วย มาตรา 247 ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ฟังข้อเท็จจริงว่าสัญญากู้ตามฟ้องทำขึ้นเป็นหลักประกันที่โจทก์มอบเงินให้จำเลยเพื่อให้จำเลยจัดส่งโจทก์ไปทำงานต่างประเทศจึงไม่มีการมอบเงินดังกล่าว เห็นได้ว่า การทำสัญญากู้ตามฟ้องเป็นการทำนิติกรรมเพื่อเป็นหลักประกันการที่จำเลยจะส่งโจทก์ไปทำงานต่างประเทศ มิได้ทำขึ้นเพื่อผูกพันสินสมรสของโจทก์โดยเฉพาะสัญญากู้ตามฟ้องจึงมิใช่การจัดการสินสมรส ดังนั้นการที่โจทก์นำสัญญากู้ดังกล่าวมาฟ้องคดีนี้ จึงมิใช่การจัดการเกี่ยวกับสินสมรสอันจะต้องได้รับความยินยอมจากคู่สมรส ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1476, 1477 เดิม ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share