คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2753/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีนี้โจทก์ซึ่งเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดฟ้องจำเลยทั้งสองให้รับผิดตามสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกันโจทก์ได้บรรยายฟ้องมาชัดแจ้งแล้วว่าจำเลยที่ 1ได้เช่าซื้อรถยนต์ไปจากโจทก์ จำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 1 ซึ่งโจทก์ได้แนบสำเนาสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกันซึ่งเป็นเอกสารที่กฎหมายต้องการมาพร้อมกับคำฟ้องแล้ว ส่วนข้อที่ว่าโจทก์มีวัตถุที่ประสงค์ในการให้เช่าซื้อรถยนต์หรือไม่เป็นรายละเอียดมิใช่สภาพแห่งข้อหาอันต้องบรรยายมาในฟ้อง โจทก์บรรยายฟ้องอ้างถึงข้อกำหนดและเงื่อนไขของสัญญาเช่าซื้ออันเป็นเหตุให้จำเลยทั้งสองต้องรับผิดต่อโจทก์กล่าวคือ จำเลยที่ 1 ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อถือว่าสัญญาเช่าซื้อสิ้นสุดทันที จำเลยที่ 1 ต้องคืนรถยนต์ที่เช่าซื้อแก่โจทก์ตามสัญญาข้อ 10 แต่ปรากฎว่ารถยนต์ที่เช่าซื้อถูกโจรภัยจำเลยที่ 1 จึงต้องชดใช้ราคารถยนต์ที่เช่าซื้อแก่โจทก์ตามสัญญาข้อ 6 โจทก์ได้รับชดใช้จากบริษัทที่รับประกันภัยแล้ว 200,000 บาท โจทก์จึงฟ้องให้จำเลยทั้งสองรับผิดในราคารถยนต์ที่ยังขาดอยู่ คำฟ้องโจทก์จึงแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาพอที่จำเลยทั้งสองจะเข้าใจและต่อสู้คดีได้ถูกต้องฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด เมื่อวันที่16 มีนาคม 2532 จำเลยที่ 1 เช่าซื้อรถยนต์ยี่ห้อนิสสันหมายเลขเครื่อง ทีดี 25 – เอส 16513 จากโจทก์เป็นเงินค่าเช่าซื้อ260,400 บาท ตกลงชำระค่าเช่าซื้อให้แก่โจทก์งวดละ 10,850 บาทภายในวันที่ 1 ของแต่ละเดือนรวม 24 เดือนเริ่มชำระงวดแรกตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2532 เป็นต้นไป จำเลยที่ 1 รับรถยนต์คันดังกล่าวจากโจทก์ในสภาพเรียบร้อยในวันทำสัญญา จำเลยที่ 2เป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 1 โดยยินยอมรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1หลังจากทำสัญญาเช่าซื้อและรับรถจากโจทก์แล้ว จำเลยที่ 1 ไม่ชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่งวดที่ 2 ประจำวันที่ 1 มิถุนายน 2532 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งถือว่าสัญญาเช่าซื้อสิ้นสุดลงโดยมิพักต้องบอกกล่าวตามสัญญาเช่าซื้อข้อ 10 และจำเลยที่ 1 ต้องส่งมอบรถยนต์คันที่เช่าซื้อคืนโจทก์ทันทีด้วยค่าใช้จ่ายของตนเอง แต่จำเลยที่ 1ไม่ส่งมอบรถยนต์คืนโจทก์ โดยปรากฎข้อเท็จจริงว่ารถยนต์คันที่เช่าซื้อสูญหายไป รถคันดังกล่าวเอาประกันวินาศภัยไว้กับบริษัทไทยพัฒนาประกันภัย จำกัด มีโจทก์เป็นผู้รับประโยชน์โจทก์ได้รับค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทไทยพัฒนาประกันภัย จำกัดเป็นเงิน 200,000 บาท เมื่อหักจากค่าเช่าซื้อที่จำเลยที่ 1จะต้องชำระแก่โจทก์ปรากฎว่ายังขาดอยู่อีก 49,550 บาท ซึ่งจำเลยที่ 1จะต้องชำระให้แก่โจทก์จนครบตามสัญญาเช่าซื้อข้อ 6 และจำเลยที่ 1ต้องชำระดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่ต้องชำระให้แก่โจทก์อัตราร้อยละ15 ต่อปี ตามสัญญาเช่าซื้อข้อ 9 จำเลยที่ 2 ในฐานผู้ค้ำประกันต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ด้วยขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 49,550 บาท ให้แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีจากเงินต้นดังกล่าว นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ไม่ได้รับความเสียหายเนื่องจากขณะทำสัญญาเช่าซื้อ โจทก์และจำเลยตกลงกันว่ารถยนต์ตามฟ้องโจทก์มีราคา 210,000 บาท โจทก์ได้รับค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทไทยพัฒนาประกันภัย จำกัด กับเงินค่าเช่าซื้อจากจำเลยรวมเป็นเงิน 210,850 บาท เกินกว่าราคารถยนต์ที่ได้ตกลงกันไว้โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยจากเงินต้น 49,550 บาท ในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี เนื่องจากเงินจำนวนดังกล่าวไม่ใช่เงินตามความหมายแห่งสัญญาเช่าซื้อข้อ 9 โจทก์ไม่มีวัตถุประสงค์ในการให้เช่าซื้อรถยนต์ จึงไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยทั้งสอง ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเนื่องจากไม่บรรยายให้แจ้งชัดว่า โจทก์มีวัตถุประสงค์ในการให้เช่าซื้อรถยนต์หรือไม่ ฟ้องโจทก์อ่านแล้วจำเลยไม่เข้าใจว่าต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญาเช่าซื้อข้อใดระหว่างสัญญาข้อ 6 กับข้อ 10จำเลยไม่สามารถให้การต่อสู้คดีได้ถูกต้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 20,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงินดังกล่าวคิดแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระให้บังคับเอาจากจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกัน
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาในข้อกฎหมายของจำเลยทั้งสองว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ โดยจำเลยทั้งสองฎีกาประการแรกว่าฟ้องโจทก์มิได้ระบุว่าโจทก์มีวัตถุประสงค์ในการให้เช่าซื้อรถยนต์จำเลยไม่สามารถต่อสู้คดีได้โดยถูกต้อง ฟ้องโจทก์จึงเคลือบคลุมนั้นเห็นว่า คดีนี้โจทก์ซึ่งเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดฟ้องจำเลยทั้งสองให้รับผิดตามสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกัน โจทก์ได้บรรยายฟ้องมาชัดแจ้งแล้วว่าจำเลยที่ 1 ได้เช่าซื้อรถยนต์ไปจากโจทก์จำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 1 ซึ่งโจทก์ได้แนบสำเนาสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกันซึ่งเป็นเอกสารที่กฎหมายต้องการมาพร้อมกับคำฟ้องแล้ว ส่วนข้อที่ว่าโจทก์มีวัตถุประสงค์ในการให้เช่าซื้อรถยนต์หรือไม่เป็นรายละเอียด มิใช่สภาพแห่งข้อหาอันต้องบรรยายมาในฟ้องส่วนที่จำเลยทั้งสองฎีกาประการต่อไปว่าจำเลยทั้งสองไม่เข้าใจคำฟ้องของโจทก์ว่าโจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งสองรับผิดตามสัญญาเช่าซื้อข้อ 6 หรือข้อ 10 ฟ้องโจทก์จึงเคลือบคลุมนั้น เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องอ้างถึงข้อกำหนดและเงื่อนไขของสัญญาเช่าซื้ออันเป็นเหตุให้จำเลยทั้งสองต้องรับผิดต่อโจทก์ กล่าวคือ จำเลยที่ 1 ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อ ถือว่าสัญญาเช่าซื้อสิ้นสุดทันที จำเลยที่ 1 ต้องคืนรถยนต์ที่เช่าซื้อแก่โจทก์ ตามสัญญาข้อ 10 แต่ปรากฎว่ารถยนต์ที่เช่าซื้อถูกโจรภัยจำเลยที่ 1 จึงต้องชดใช้ราคารถยนต์ที่เช่าซื้อแก่โจทก์ตามสัญญาข้อ 6 โจทก์ได้รับชดใช้จากบริษัทที่รับประกันภัยแล้ว 200,000 บาท โจทก์จึงฟ้องให้จำเลยทั้งสองรับผิดในราคารถยนต์ที่ยังขาดอยู่ คำฟ้องโจทก์จึงแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาพอที่จำเลยทั้งสองจะเข้าใจและต่อสู้คดีได้ถูกต้อง ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
พิพากษายืน

Share