คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2559/2537

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

เมื่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เห็นว่าการประเมินของ เจ้าพนักงานประเมินชอบแล้ว คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ชอบที่จะยกอุทธรณ์ของบริษัทโจทก์ได้ โดยไม่จำต้องวินิจฉัยหักหรือลดเงินภาษีที่โจทก์ได้ชำระแล้วให้ เพราะว่าคณะกรรมการ พิจารณาอุทธรณ์จะวินิจฉัยหักหรือลดให้เฉพาะแต่ในกรณีที่เห็นว่า การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินไม่ชอบหรือไม่ถูกต้อง เท่านั้น ส่วนเงินที่โจทก์ไม่ได้โต้แย้งและชำระภาษีไปบางส่วนแล้ว ย่อมเป็นหน้าที่ของเจ้าพนักงานผู้รับชำระภาษีจากโจทก์ในภายหน้า ที่จะทำการหักและลดให้ต่อไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินภาษีเงินได้ตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้นิติบุคคล และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ให้โจทก์ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้และเงินเพิ่มจำนวน18,898,206 บาท
จำเลยทั้งสี่ให้การว่า การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ชอบแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เกี่ยวกับรายรับดอกเบี้ยของโจทก์ชอบหรือไม่ในข้อนี้ปรากฏข้อเท็จจริงจากพยานเอกสารของโจทก์และจำเลยทั้งสี่ว่า เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2525 เจ้าพนักงานของจำเลยที่ 1ได้หมายเรียกโจทก์ให้ส่งมอบบัญชีและเอกสารให้เจ้าพนักงานของจำเลยที่ 1 เพื่อทำการตรวจสอบ ตามเอกสารหมาย ล.3วันที่ 23 กรกฎาคม 2525 โจทก์ทำหนังสือมอบอำนาจให้นายพิชัย เชี่ยวนาวิน นำสมุดบัญชีและเอกสารไปมอบให้เจ้าพนักงานของจำเลยที่ 1 พร้อมทั้งไปให้ถ้อยคำและชี้แจงรายละเอียด ดังปรากฏรายละเอียดตามหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย ล.5 และตามคำให้การของนายพิชัยกับบันทึกของเจ้าพนักงานตรวจสอบภาษีอากรเอกสารหมาย ล.12 และล.13 ต่อมาวันที่ 28 กันยายน 2527 นายพิชัยได้ไปรับทราบผลการคำนวณภาษีเงินได้พร้อมทั้งได้ทำบันทึกข้อตกลงยินยอมชำระภาษีตามเอกสาร ล.18 ล.19 ล.20 และ ล.21 อันดับที่ 136 และ 138 และในวันเดียวกันนั้นเจ้าพนักงานตรวจสอบภาษีอากรของจำเลยที่ 1ได้ทำหนังสือแจ้งภาษีเงินได้นิติบุคคลไปยังโจทก์ตามเอกสารหมายล.25 จ.60 และ จ.61 วันที่ 6 พฤศจิกายน 2527 โจทก์อุทธรณ์การประเมิน วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2528 จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4ได้วินิจฉัยยกอุทธรณ์ของโจทก์ตามคำวินิจฉัยเอกสารหมาย ล.26เห็นว่า ตามบันทึกเอกสารหมาย ล.18 แผ่นที่ 2 นายพิชัยได้ให้ถ้อยคำต่อเจ้าพนักงานของจำเลยที่ 1 ไว้ว่า “กรณีที่เจ้าพนักงานคำนวณดอกเบี้ยรับเป็นรายรับเพิ่มขึ้น โดยถือว่าบริษัทโจทก์กู้เงินแล้วนำเงินนั้นไปให้บริษัทในเครือใช้โดยไม่คิดค่าตอบแทน ทำให้รายรับเพื่อคำนวณภาษีของโจทก์ไม่ถูกต้อง จึงคำนวณดอกเบี้ยสำหรับเงินที่ให้บริษัทในเครือยืมไปใช้ ตามอัตราดอกเบี้ยของท้องตลาดคือร้อยละ 15 ต่อปีนั้น นายพิชัยขอชี้แจงว่า การที่โจทก์ให้บริษัทในเครือยืมเงินไปก็เพื่อให้บริษัทเหล่านั้นผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์รถยนต์ให้แก่โจทก์ เพื่อใช้ในการประกอบรถยนต์สำเร็จรูป เป็นการให้ประโยชน์แก่โจทก์ด้วย นอกจากนี้โจทก์ได้กู้เงินมาจากต่างประเทศโดยเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 13.25 ต่อปีโจทก์จึงเห็นว่าการที่เจ้าพนักงานคำนวณดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีจึงเป็นอัตราที่สูงเกินไป หากเจ้าพนักงานจะคำนวณดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ก็ขอให้คำนวณเท่ากับอัตราที่โจทก์ได้กู้ยืมมา ส่วนประเด็นเกี่ยวกับการตรวจสอบอื่น ๆ นายพิชัยไม่โต้แย้งแต่ประการใด”ต่อมาในวันที่ 28 กันยายน 2527 นายพิชัยได้ให้ถ้อยคำตามบันทึกเอกสารหมาย ล.21 แผ่นที่ 2 ว่า “ตามที่โจทก์ได้โต้แย้งกรณีที่เจ้าพนักงานได้ประเมินรายรับค่าดอกเบี้ยรับจากการให้บริษัทในเครือกู้ยืมเงินโดยไม่ได้คิดดอกเบี้ย ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ15 ต่อปี ว่าเป็นอัตราที่สูงเกินไป เนื่องจากการที่โจทก์ให้บริษัทในเครือยืมเงินไปก็เพื่อให้บริษัทเหล่านั้นผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์รถยนต์ให้แก่โจทก์เพื่อใช้ในการประกอบรถยนต์สำเร็จรูปเป็นการให้ประโยชน์แก่โจทก์ด้วย ทั้งโจทก์กู้เงินมาจากต่างประเทศในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 13.25 ต่อปี ดังนั้นโจทก์จึงเห็นว่าเจ้าพนักงานควรจะคำนวณดอกเบี้ยรับของโจทก์ในอัตราร้อยละ13.25 ต่อปี สำหรับเรื่องนี้เจ้าพนักงานได้แจ้งให้นายพิชัยทราบว่าได้เสนอข้อโต้แย้งของโจทก์ให้ผู้บังคับบัญชาพิจารณาแล้วผู้บังคับบัญชาได้อนุมัติให้คำนวณดอกเบี้ยรับจากการให้บริษัทในเครือกู้ยืมเงินมาเป็นรายรับของโจทก์ในอัตราร้อยละ 13.25 ต่อปีเนื่องจากข้อโต้แย้งของโจทก์มีเหตุผลและสมควรรับฟังได้”และในเอกสารดังกล่าวหน้า 3 ตอนท้าย นายพิชัยได้ให้ถ้อยคำว่า”นายพิชัยรับทราบตามที่เจ้าพนักงานแจ้งให้ทราบตลอดจนได้ตรวจสอบการคำนวณภาษีแล้วยอมรับว่าถูกต้อง โดยไม่มีข้อโต้แย้งแต่ประการใด และยินยอมชำระภาษีให้แก่ทางราชการจนครบถ้วน”นอกจากนี้นายพิชัยยังได้ทำบันทึกข้อตกลงยินยอมการชำระภาษีอากรรวม 20,616,225.70 บาท ตามเอกสารหมาย ล.21 แผ่นที่ 1ซึ่งต่อมาคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้ลดเงินเพิ่มให้คงเหลือรวม18,898,206 บาท ตามคำวินิจฉัยอุทธรณ์เอกสารหมาย ล.26 ซึ่งนายพิชัยพยานโจทก์เบิกความตอบทนายจำเลยยอมรับว่า ได้ไปรับทราบผลการตรวจสอบภาษีตามเอกสารหมาย ล.21 รวม 3 แผ่นจริงส่วนที่เบิกความว่า พยานได้โต้แย้งว่าโจทก์ใช้เกณฑ์เงินสดมิได้ใช้เกณฑ์สิทธิ์ในการลงบัญชี แต่เจ้าพนักงานของจำเลยมิได้บันทึกไว้นั้น เป็นคำเบิกความลอย ๆ ไม่มีน้ำหนักและเหตุผลพอที่จะให้รับฟังเป็นความจริง เพราะนอกจากเอกสารหมาย ล.21 แล้วในวันที่เดียวนั้นนายพิชัยได้ทำหนังสือขอลดเงินเพิ่มภาษีถึงเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 โดยมิได้กล่าวถึงข้อโต้แย้งดังกล่าวแต่ประการใด จึงฟังได้ว่านายพิชัยได้ทำบันทึกตกลงยินยอมการชำระภาษีอากรตามเอกสารหมาย ล.21 โดยไม่มีข้อโต้แย้งใด ๆจริง เมื่อนายพิชัยผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์ได้ทำบันทึกยินยอมชำระภาษีแล้ว ข้อตกลงที่นายพิชัยทำไว้ดังกล่าวจึงมีผลผูกพันโจทก์ให้ต้องรับผิดชำระภาษีเงินได้ตามข้อตกลงดังกล่าวโจทก์จะโต้เถียงว่าการประเมินให้โจทก์ชำระภาษีเงินได้ของเจ้าพนักงานจำเลยที่ 1 รวมตลอดทั้งคำวินิจฉัยของจำเลยที่ 2ที่ 3 และที่ 4 ไม่ชอบไม่ได้
ที่โจทก์ฎีกาว่า สำหรับรายจ่ายต้องห้ามตามประมวลรัษฎากรมาตรา 65 ตรี โจทก์มิได้โต้แย้งการประเมิน และได้นำเงินภาษีสำหรับปี พ.ศ. 2523 จำนวน 5,673,080.90 บาท และสำหรับปีพ.ศ. 2524 จำนวน 4,280,814.12 บาท ไปชำระให้จำเลยแล้วแต่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มิได้เพิกถอนการประเมินหรือหักเงินจำนวนดังกล่าวให้โจทก์ จึงเป็นการซ้ำซ้อนและไม่ถูกต้องตามกฎหมายนั้น เห็นว่า สำหรับรายจ่ายต้องห้ามตามประมวลรัษฎากรมาตรา 65 ตรี ในเมื่อโจทก์ไม่ได้โต้แย้ง จึงถือได้ว่าการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินในเรื่องดังกล่าวชอบแล้ว และเมื่อรายรับดอกเบี้ยของเงินที่โจทก์นำไปให้บริษัทอื่นกู้ยืมนั้นคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เห็นว่าการประเมินของเจ้าพนักงานชอบแล้วคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ก็ชอบที่จะยกอุทธรณ์ของโจทก์โดยไม่จำต้องวินิจฉัยหักลดให้ เพราะว่าคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์จะวินิจฉัยหักหรือลดให้เฉพาะแต่ในกรณีที่เห็นว่าการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินไม่ชอบหรือไม่ถูกต้องเท่านั้น ส่วนที่โจทก์ไม่ได้โต้แย้งและชำระภาษีไปบางส่วนแล้ว ย่อมเป็นหน้าที่ของเจ้าพนักงานผู้รับชำระภาษีจากโจทก์ที่จะทำการหักและลดให้ต่อไปที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล”
พิพากษายืน

Share