คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2359/2537

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยมีที่ดินเนื้อที่ประมาณ 26 ไร่ต้องการขายที่ดินดังกล่าวจำนวน 14 ไร่เศษ ซึ่งจำเลยมีโครงการจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินจัดสรรขายแก่บุคคลทั่วไปเพื่อนำเงินไปชำระหนี้แก่ธนาคารเพราะจำเลยได้จำนองที่ดินจำนวน 26 ไร่ไว้แก่ธนาคารและธนาคารบอกกล่าวบังคับจำนอง จำเลยจึงติดต่อโจทก์กับผู้มีชื่อให้เป็นนายหน้าขายที่ดินของจำเลยโดยสัญญาว่าจะยกที่ดินให้คนละ 1 ไร่ เป็นค่าตอบแทนในการเป็นนายหน้าต่อมากลางปี 2530 โจทก์สามารถติดต่อขายที่ดินให้จำเลยได้สำเร็จแต่จำเลยไม่ยอมจดทะเบียนโอนที่ดินให้โจทก์ตามสัญญา จึงมีคำขอ บังคับให้จำเลยชำระเงินค่าที่ดิน 120,000 บาท หากไม่ปฏิบัติ ตามให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ดังนี้ฟ้องโจทก์ได้บรรยายชัดแจ้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 172 วรรคสอง แล้ว จำเลยสามารถต่อสู้คดีได้อย่างถูกต้องส่วนโจทก์จะติดต่อให้ผู้ใดมาซื้อที่ดินกับจำเลยในราคาเท่าใดเป็นรายละเอียดที่โจทก์สามารถนำสืบได้ในชั้นพิจารณาฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม สัญญานายหน้าทำขึ้น 2 ฉบับ เมื่อเอกสารดังกล่าวอยู่ในความครอบครองของจำเลย 1 ฉบับ กรณีย่อมเข้าข้อยกเว้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90(2) โจทก์จึงไม่ต้องส่งสำเนาเอกสารดังกล่าวให้แก่จำเลยก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่าสาม ฉบับ ตามคำขอท้ายฟ้องโจทก์ขอบังคับให้จำเลยชำระเงิน120,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ก่อน หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามก็ให้บังคับจำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์แต่เมื่อลำดับการขอบังคับตามคำขอท้ายฟ้องดังกล่าวมิได้เป็นไปตามขั้นตอนของการบังคับชำระหนี้ตามที่โจทก์มีสิทธิ ศาลก็ชอบที่จะพิพากษาให้บังคับไปตามขั้นตอนของสิทธิของโจทก์ที่จะบังคับชำระหนี้ที่ถูกต้องได้โดยพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ก่อน หากโอนไม่ได้จึงจะให้ชำระเงิน 120,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ ไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 3838 เนื้อที่ 1 ไร่ จำเลยได้ยกที่ดินแปลงดังกล่าวให้โจทก์เพื่อเป็นค่านายหน้าตอบแทนที่โจทก์จัดการหรือชี้ช่องให้บุคคลอื่นมาซื้อที่ดินจำเลยทั้งนี้เนื่องจากในปี 2523ธนาคารจะบังคับจำนองที่ดินเนื้อที่ประมาณ 26 ไร่ ของจำเลยจำเลยจึงติดต่อให้โจทก์กับผู้มีชื่อเป็นนายหน้าจัดหาผู้ซื้อที่ดินของจำเลยซึ่งจำเลยมีโครงการจดทะเบียนแบ่งแยกจัดสรรขายแก่บุคคลทั่วไปจำนวน 14 ไร่เศษ เพื่อนำเงินที่ได้ไปไถ่ถอนจำนองโดยสัญญาว่าหากโจทก์กับผู้มีชื่อสามารถติดต่อขายที่ดินให้จำเลยได้จำเลยจะยกที่ดินให้คนละ 1 ไร่ เป็นค่านายหน้าต่อมากลางปี 2530โจทก์นำผู้ซื้อมาทำสัญญาและวางเงินมัดจำค่าที่ดินจำเลยจึงมอบการครอบครองที่ดิน น.ส.3 ก. เลขที่ 3838 ให้โจทก์ ต่อมาโจทก์ทวงถามให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่โจทก์ตามสัญญา จำเลยขอผัดผ่อนและในที่สุดได้ต่อรองกับโจทก์ว่าจะชำระค่านายหน้าเป็นเงิน 50,000 บาท แทนการจดทะเบียนโอนที่ดินแปลงดังกล่าว แต่โจทก์ไม่ยินยอม ที่ดินแปลงนี้หากขายจะได้ราคา 120,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 120,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ หากไม่ชำระให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนที่ดินน.ส.3 ก. เลขที่ 3838 ตำบลหนองสาหร่าย อำเภอปากช่องจังหวัดนครราชสีมา ให้แก่โจทก์ หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทน
จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะไม่ได้บรรยายว่าจำเลยตกลงให้โจทก์เป็นนายหน้าขายที่ดินแปลงใด ตั้งแต่เมื่อใดโจทก์ได้ติดต่อให้ผู้ใดมาซื้อที่ดินจากจำเลย การซื้อขายกระทำเมื่อใดราคาเท่าไรและมีการจดทะเบียนโอนที่ดินกันหรือไม่ ทำให้จำเลยไม่เข้าใจคำฟ้องและไม่สามารถต่อสู้คดีได้ถูกต้อง จำเลยไม่เคยตกลงให้โจทก์เป็นนายหน้าขายที่ดินและไม่เคยยกที่ดินพิพาทให้เป็นค่านายหน้า เมื่อประมาณเดือนพฤษภาคม 2530 จำเลยตกลงให้นางเรณู เรืองเจริญ เป็นนายหน้าขายที่ดินให้จำเลยนางเรณูติดต่อผู้มีชื่อมาซื้อที่ดิน จำเลยมิได้ขายที่ดินให้ผู้มีชื่อแต่ได้ตกลงให้ผู้มีชื่อจัดการขายที่ดินให้แก่บุคคลอื่นโดยตกลงแบ่งผลประโยชน์กัน จำเลยเห็นว่าการติดต่อของนายเรณูเป็นประโยชน์แก่จำเลย จำเลยจึงยกที่ดินแปลงหนึ่งให้นางเรณูเป็นค่านายหน้า จำเลยไม่เคยส่งมอบการครอบครองที่ดินพิพาทให้โจทก์โจทก์เคยติดต่อขอซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยในราคา 50,000 บาทและบุกรุกเข้าไปครอบครองที่ดินพิพาท แต่จำเลยต้องการขายในราคา120,000 บาท เมื่อตกลงราคากันไม่ได้จำเลยจึงให้โจทก์ออกจากที่ดินพิพาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินน.ส.3 ก. เลขที่ 3838 ตำบลหนองสาหร่าย อำเภอปากช่องจังหวัดนครราชสีมา เนื้อที่ 1 ไร่ แก่โจทก์ หากโอนไม่ได้ให้ชำระเงิน120,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาข้อแรกที่จะวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ จำเลยฎีกาว่า โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่า จำเลยให้โจทก์เป็นนายหน้าขายที่ดินแปลงใด ให้แก่ใครเมื่อใด ราคาเท่าใด จึงเป็นคำฟ้องที่ไม่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้น ทำให้จำเลยไม่สามารถต่อสู้คดีได้อย่างถูกต้อง ฟ้องโจทก์จึงเคลือบคลุมนั้น เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยมีที่ดินเนื้อที่ประมาณ 26 ไร่ ต้องการขายที่ดินดังกล่าวจำนวน 14 ไร่เศษ ซึ่งจำเลยมีโครงการจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินจัดสรรขายแก่บุคคลทั่วไปเพื่อนำเงินไปชำระหนี้แก่ธนาคารเพราะจำเลยได้จำนองที่ดินจำนวน 26 ไร่ ไว้แก่ธนาคารและธนาคารบอกกล่าวบังคับจำนอง จำเลยจึงติดต่อโจทก์กับผู้มีชื่อให้เป็นนายหน้าขายที่ดินของจำเลย โดยสัญญาว่าจะยกที่ดินให้คนละ1 ไร่ เป็นค่าตอบแทนในการเป็นนายหน้า ต่อมากลางปี 2530โจทก์สามารถติดต่อขายที่ดินให้จำเลยได้สำเร็จ แต่จำเลยไม่ยอมจดทะเบียนโอนที่ดินให้โจทก์ตามสัญญา จึงมีคำขอบังคับให้จำเลยชำระเงินค่าที่ดิน 120,000 บาท หากไม่ปฏิบัติตามให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ ดังนี้ฟ้องโจทก์ได้บรรยายชัดแจ้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสองแล้วจำเลยสามารถต่อสู้คดีได้อย่างถูกต้อง ส่วนโจทก์จะติดต่อให้ผู้ใดมาซื้อที่ดินกับจำเลยในราคาเท่าใดเป็นรายละเอียดที่โจทก์สามารถนำสืบได้ในชั้นพิจารณา ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
สำหรับที่จำเลยฎีกาว่า การที่ศาลล่างทั้งสองรับฟังสัญญาเอกสารหมาย จ.3 เป็นการขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 90 เพราะโจทก์ไม่ได้ยื่นสำเนาเอกสารต่อศาลและมิได้ส่งสำเนาให้จำเลยก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่าสามวันนั้นปรากฏจากคำเบิกความของนางเรณูว่า สัญญาดังกล่าวทำขึ้น2 ฉบับ จำเลยเก็บไว้ 1 ฉบับ พยานเก็บไว้ 1 ฉบับ ซึ่งก็น่าเชื่อว่าเป็นความจริง ดังนั้น เมื่อเอกสารอีกฉบับหนึ่งอยู่ในครอบครองของจำเลย กรณีย่อมเข้าข้อยกเว้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 90(2) โจทก์จึงไม่ต้องส่งสำเนาเอกสารหมาย จ.3ให้แก่จำเลยก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่าสามวัน ทั้งนายธงชัยผู้เขียนเอกสารดังกล่าวก็ยืนยันว่าเอกสารดังกล่าวมีอยู่จริงไม่น่าเชื่อว่าโจทก์จะปลอมแปลงเอกสารหมาย จ.3 แล้วฉวยโอกาสนำมาอ้างอิงเป็นพยานโดยจำเลยไม่มีโอกาสคัดค้านโต้แย้งดังที่จำเลยกล่าวอ้าง ตามพฤติการณ์แห่งคดีข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าโจทก์ร่วมกับนางเรณูติดต่อให้นายสมศักดิ์มาซื้อที่ดินจำเลยถือว่าการซื้อขายสำเร็จเนื่องจากการชี้ช่องของโจทก์ด้วยจำเลยต้องรับผิดโอนที่ดิน น.ส.3 ก. เลขที่ 3838 ให้แก่โจทก์ตามสัญญา หากโอนให้ไม่ได้ก็ต้องชดใช้ราคาที่ดินเป็นเงิน 120,000 บาท
ปัญหาสุดท้ายที่จำเลยฎีกาว่า ศาลพิพากษาเกินคำขอของโจทก์เพราะศาลชั้นต้นมิได้พิพากษาบังคับจำเลยตามคำขอของโจทก์แต่กลับพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) เลขที่ 3838 เนื้อที่ 1 ไร่ ให้แก่โจทก์หากโอนไม่ได้ให้ชำระเงินจำนวน 120,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ดังนั้นคำพิพากษาของศาลชั้นต้นจึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 และการที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนก็ไม่ถูกต้องเพราะศาลอุทธรณ์มีอำนาจแก้คำพิพากษาของศาลชั้นต้นได้อยู่แล้ว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243(4) เห็นว่าแม้คำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองจะมิได้บังคับให้จำเลยชำระเงิน120,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ก่อน หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามก็ให้บังคับจำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 3838 ให้แก่โจทก์ตามที่โจทก์ขอบังคับจำเลยมาก็ตามแต่เมื่อลำดับการขอบังคับตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์นั้น มิได้เป็นไปตามขั้นตอนของการบังคับชำระหนี้ศาลก็ชอบที่จะพิพากษาให้บังคับไปตามขั้นตอนของสิทธิที่จะบังคับชำระหนี้ที่ถูกต้องได้ คำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองมิได้เกินคำขอของโจทก์”
พิพากษายืน

Share