คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 818/2537

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524มาตรา 21 บัญญัติว่า “ทำนา” หมายความว่าการเพาะปลูกข้าวหรือพืชไร่ “พืชไร่” หมายความว่าพืชซึ่งต้องการน้ำน้อยและอายุสั้น หรือสามารถเก็บเกี่ยวครั้งแรกได้ภายในสิบสองเดือน เมื่อจำเลยเช่า ที่ดินทำสวนปลูกฝรั่ง พันธุ์เวียตนาม มะม่วง และมะพร้าวโดยส่วนใหญ่ ปลูกฝรั่ง พันธุ์เวียตนามซึ่งเป็นพืชที่ต้องการน้ำมาก ฉะนั้น แม้ฝรั่ง พันธุ์เวียตนามจะเก็บเกี่ยวผลครั้งแรกได้ภายใน 8 เดือน ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นพืชไร่ ส่วนมะม่วง มะพร้าว เป็นไม้ยืนต้น มีอายุยืนนานไม่เป็นพืชไร่เช่นกัน จึงไม่เป็นการเช่าที่ดินที่ได้รับ ความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2424

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 14158 ที่ดินดังกล่าวมีบ้านเลขที่ 16/2 ซึ่งเป็นโรงหลังคามุงจากที่จำเลยและบริวารอาศัยอยู่โดยไม่มีสิทธิโจทก์ทั้งสองไม่ประสงค์จะให้จำเลยอยู่อาศัยอีกต่อไป จึงให้จำเลยรื้อถอนบ้านออกจากที่ดินดังกล่าวหลายครั้งแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉยขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 14158 ให้จำเลยรื้อถอนบ้านเลขที่ 16/2 ออกจากที่ดินและห้ามเกี่ยวข้องกับที่ดินดังกล่าว ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ 20,000 บาท และค่าเช่ารายปีอีกปีละ 5,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะออกไปจากที่ดินพิพาท
จำเลยให้การว่า จำเลยอยู่ในที่ดินพิพาทโดยทำสัญญาเช่าจากนายมณีและนายนิคมเพื่อทำสวนเพาะปลูกพืชไร่จำพวกฟักแฟงแตง มะเขือ และฝรั่งพันธุ์เวียตนามมาตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2526การเช่าดังกล่าวเป็นการเช่านาตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 จึงมีกำหนดระยะเวลาเช่า 6 ปีตามกฎหมายดังกล่าว อายุการเช่ายังไม่ถึงกำหนด โจทก์ทั้งสองฟ้องขับไล่จำเลยไม่ได้ และโจทก์ทั้งสองมิได้บอกเลิกสัญญาเช่าให้จำเลยทราบล่วงหน้าเป็นเวลาอย่างน้อย 1 ปี ก่อนสิ้นระยะเวลาการเช่าตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524โจทก์ทั้งสองจึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 14158 ตำบลบางช้าง อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐมห้ามจำเลยเกี่ยวข้องกับที่ดินดังกล่าว และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ปีละ 5,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายออกจากที่ดินพิพาท จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีคงมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า การเช่าที่ดินพิพาทเป็นการเช่าที่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 หรือไม่อันเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย ซึ่งในการวินิจฉัยปัญหาเช่นว่านี้ต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลล่างวินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 238 และ 247ข้อเท็จจริงที่ศาลล่างวินิจฉัยมาฟังได้ว่า จำเลยเช่าที่ดินพิพาททำสวนปลูกฝรั่งพันธุ์เวียตนาม มะม่วง และมะพร้าว โดยส่วนใหญ่ปลูกฝรั่งพันธุ์เวียตนามซึ่งเป็นพืชที่ต้องใช้น้ำมาก ที่จำเลยฎีกาว่าการทำสวนของจำเลยดังกล่าวเป็นการเพาะปลูกพืชไร่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมฯนั้น เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 หมวด 2 การเช่านา มาตรา 21 บัญญัติว่า “ในหมวดนี้ ฯลฯ “ทำนา” หมายความว่าการเพาะปลูกข้าวหรือพืชไร่ “พืชไร่” หมายความว่าพืชซึ่งต้องการน้ำน้อยและอายุสั้นหรือสามารถเก็บเกี่ยวครั้งแรกได้ภายในสิบสองเดือน ฯลฯ ” เมื่อจำเลยเช่าที่ดินพิพาททำสวนปลูกฝรั่งพันธุ์เวียตนาม มะม่วง และมะพร้าวโดยส่วนใหญ่ปลูกฝรั่งพันธุ์เวียตนามซึ่งเป็นพืชที่ต้องการน้ำมาก ฉะนั้นแม้ฝรั่งพันธุ์เวียตนามจะเก็บเกี่ยวผลครั้งแรกได้ภายใน 8 เดือนก็ถือไม่ได้ว่าเป็นพืชไร่ ตามนัยแห่งบทบัญญัติดังกล่าว ส่วนมะม่วงมะพร้าว เป็นไม้ยืนต้น มีอายุยืนนาน ไม่เป็นพืชไร่เช่นกัน ดังนั้นการเช่าที่ดินพิพาทจึงไม่เป็นการเช่าที่ดินเพื่อทำนาและไม่เป็นการเช่าที่ดินที่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share