คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4168/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำเบิกความและคำให้การในชั้นสอบสวนของ ภ. ว่าตนได้นำสร้อยข้อมือของผู้เสียหายที่ลักมาไปขายให้แก่จำเลยโดยบอกด้วยว่าเป็นทรัพย์ที่ลักมาถือได้ว่าเป็นคำซัดทอดของ ผู้ร่วมกระทำผิดด้วยกัน แม้มิใช่เป็นคำชัดทอดที่เป็นการปัด ความผิดของผู้ชัดทอดให้เป็นความผิดของจำเลยผู้เดียวก็ตาม แต่ก็มีน้ำหนักน้อยและจะต้องรับฟังด้วยความระมัดระวังลำพังคำเบิกความและคำให้การในชั้นสอบสวนของ ภ. ดังกล่าวโดยไม่มีพยานหลักฐานอื่นประกอบ ไม่มีน้ำหนักเพียงพอ ให้รับฟังได้ว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 347 และให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์เป็นเงิน 10,000 บาทแก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 357 วรรคแรก จำคุก 2 ปี และให้จำเลยคืนสร้อยข้อมือทองคำหนัก 2 บาท หรือใช้ราคา 10,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า นายภาณุ จำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1150/2533 ของศาลชั้นต้น ได้ลักสร้อยข้อมือทองคำ 1 เส้น ราคา 10,000 บาท ของผู้เสียหายไป ตามบันทึกคำให้การของนายภาณุ ในชั้นสอบสวนเป็นพยานเอกสารสนับสนุน ในบันทึกดังกล่าวระบุว่านายภาณุ นำสร้อยข้อมือของผู้เสียหายไปขายให้แก่จำเลยและวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า คำเบิกความและคำให้การในชั้นสอบสวนของนายภาณุ ดังกล่าวถือได้ว่าเป็นคำชัดทอดของผู้ร่วมกระทำผิดด้วยกันแม้มิใช่คำซัดทอดที่เป็นการปัดความผิดของผู้ซัดทอดให้เป็นความผิดของจำเลยผู้เดียวก็ตาม แต่ก็มี น้ำหนักน้อยและจะต้องรับฟังด้วยความระมัดระวัง ดังนั้น ลำพังคำเบิกความและคำให้การในชั้นสอบสวนของนายภาณุ โดยไม่มีพยานหลักฐานอื่นไปประกอบย่อมไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังได้ว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้อง
พิพากษายืน

Share