คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2556/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อ คกช.ตำบลวินิจฉัยตามข้อตกลงระหว่างโจทก์ผู้เช่านากับจำเลยที่ 2 ผู้รับโอนที่ดินจากผู้ให้เช่านา โดยให้จำเลยที่ 2 ขายที่ดินพิพาทแก่โจทก์ครึ่งหนึ่ง โจทก์จึงนำคดีมาสู่ศาลขอให้บังคับจำเลยที่ 2 ขายที่ดินดังกล่าวตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524มาตรา 58 วรรคหนึ่ง กรณีย่อมอยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 221 ซึ่งศาลมีอำนาจทำคำสั่งปฏิเสธไม่ยอมพิพากษาตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการได้ถ้าเห็นว่าคำชี้ขาดนั้นขัดต่อกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 218 วรรคสุดท้ายเมื่อจำเลยที่ 2 เพียงแต่ต่อสู้ว่าโจทก์มิได้ปฏิบัติตามคำชี้ขาดของ คชก.ตำบล แต่มิได้ให้การต่อสู้ว่าคำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์จึงมีสิทธิซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 2 ตามคำวินิจฉัยดังกล่าวได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันจดทะเบียนโอนขายที่นา โฉนดเลขที่ 5091 แก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 จดทะเบียนขายที่นาส่วนของจำเลยที่ 1 ในโฉนดที่ดินเลขที่ 5091 เนื้อที่ 2 ไร่ 1 งานแก่โจทก์ ยกฟ้องโจทก์ในส่วนของจำเลยที่ 1
โจทก์และจำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในเรื่องผู้เช่านาใช้สิทธิขอซื้อที่นาจากผู้รับโอนที่มาจากผู้ให้เช่านาซึ่งขายที่นาโดยมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524มาตรา 53 นั้น พระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ. 2524 มาตรา 54 วรรคสอง บัญญัติว่า หากผู้รับโอนไม่ยอมขายที่นาให้แก่ผู้เช่านา ผู้เช่านาอาจร้องขอต่อ คชก.ตำบลเพื่อวินิจฉัยได้คำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลดังกล่าว ตามมาตรา 56 วรรคหนึ่ง อาจอุทธรณ์ต่อ คชก.จังหวัด และตามมาตรา 56 วรรคสอง คำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลที่มิได้อุทธรณ์ตามมาตรา 56 วรรคหนึ่งให้เป็นที่สุด และพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 บัญญัติต่อไปในมาตรา 56 วรรคหนึ่งว่า “ในกรณีมีการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำวินิจฉัยหรือคำสั่งอันเป็นที่สุดของ คชก.ตำบลหรือ คชก.จังหวัด ถ้าคำวินิจฉัยหรือคำสั่งนั้นมิใช่กรณีที่ระบุไว้ในมาตรา 62 เมื่อผู้มีส่วนได้เสียร้องขอต่อศาลในการพิจารณาคดีของศาลได้ถือว่าคำวินิจฉัยหรือคำสั่งดังกล่าวเป็นคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการโดยให้นำบทบัญญัติว่าด้วยการพิจารณาพิพากษาตามคำร้องขอของอนุญาโตตุลาการในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับแก่การพิจารณาพิพากษาตามคำวินิจฉัยหรือคำสั่งของ คชก.ตำบลหรือ คชก.จังหวัดในกรณีนี้โดยอนุโลม” ตามบทบัญญัติดังกล่าว เมื่อ คชก.ตำบลคลองเปรงวินิจฉัยตามข้อตกลงระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 2 ให้จำเลยที่ 2ขายที่ดินพิพาทแก่โจทก์ครึ่งหนึ่งในราคา 17,000 บาท และโจทก์นำคดีมาสู่ศาลขอให้บังคับจำเลยที่ 2 ขายที่ดินดังกล่าว กรณีย่อมอยู่ในบังคับบทบัญญัติว่าด้วยการพิจารณาพิพากษาตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งโดยบทบัญญัติที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้นคือประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 221 บัญญัติว่า “ในกรณีที่เสนอข้อพิพาทในอนุญาโตตุลาการชี้ขาดนอกศาลถ้าคู่กรณีฝ่ายใดไม่ยอมปฏิบัติตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ ห้ามมิให้บังคับตามคำชี้ขาดนั้น เว้นแต่คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งจะได้ยื่นคำร้องขอต่อศาลที่มีเขตอำนาจและศาลได้พิพากษาตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการนั้น ถ้าศาลเห็นว่าคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการขัดต่อกฎหมายประการใดประการหนึ่งให้นำบทบัญญัติวรรคสุดท้ายแห่งมาตรา 218 มาใช้บังคับ” ซึ่งมีความหมายว่าศาลมีอำนาจทำคำสั่งปฏิเสธไม่ยอมพิพากษาตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการถ้าเป็นว่าคำชี้ขาดนั้นขัดต่อกฎหมายประการใดประการหนึ่ง เมื่อคดีนี้จำเลยที่ 2 เพียงแต่ต่อสู้ว่าโจทก์มิได้ปฏิบัติตามคำชี้ขาดของ คชก.ตำบลคลองเปรงโดยนำเงินจำนวน 17,000 บาท ไปชำระตามกำหนด มิได้ให้การต่อสู้ว่าคำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลคลองเปรงไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์จึงมีสิทธิซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 2 ตามคำวินิจฉัยดังกล่าวได้
พิพากษายืน

Share