แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ผู้ประกันทำสัญญาประกันจำเลยที่ 2 ที่ 3 ต่อศาลชั้นต้นเป็นฉบับเดียวกัน แล้วผิดสัญญาประกัน ศาลชั้นต้นย่อมมีอำนาจสั่งปรับผู้ประกันในคำสั่งเดียวกันได้ และเมื่อภายหลังผู้ประกันนำตัวจำเลยที่ 3 มาส่งศาลหลังวันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ปรับผู้ประกัน ศาลชั้นต้นย่อมมีอำนาจที่จะมี คำสั่งลดจำนวนค่าปรับผู้ประกันเฉพาะจำเลยที่ 3 ลงโดยกำหนดเงื่อนไขว่า ต้องชำระค่าปรับดังกล่าวภายใน 1 เดือน และต้องไม่ผิดนัดชำระค่าปรับสำหรับจำเลยที่ 2 ด้วยมิฉะนั้นให้ปรับเต็มตามสัญญาประกันอันเป็นเงื่อนไขซึ่งเกี่ยวพันกับการปรับผู้ประกันในส่วนของจำเลยที่ 2 ที่อยู่ระหว่างผ่อนชำระค่าปรับกรณีผิดสัญญาประกันได้ตามที่ศาลชั้นต้นเห็นสมควรโดยอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 119 โดยไม่จำต้องแยกคำสั่งปรับผู้ประกันจำเลยที่ 2และที่ 3 ออกจาก กัน
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสี่ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสี่จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ แต่ให้ขังจำเลยทั้งสี่ไว้ระหว่างฎีกา เว้นแต่จะมีประกันตัวไป นายเชนสันติกาล ผู้ประกันทำสัญญาประกันจำเลยที่ 2 และที่ 3 ไปจากศาลชั้นต้น โดยศาลตีราคาประกันจำเลยคนละ 600,000 บาท ครั้นครบกำหนดนัดวันฟังคำพิพากษาศาลฎีกา ผู้ประกันไม่สามารถส่งตัวจำเลยทั้งสองต่อศาลได้ ศาลชั้นต้นเห็นว่า ผู้ประกันผิดสัญญาประกันและมีคำสั่งปรับผู้ประกันเต็มจำนวนตามสัญญาประกัน และออกหมายจับจำเลยทั้งสี่เพื่อนำตัวมาฟังคำพิพากษาศาลฎีกา แต่จับไม่ได้ศาลชั้นต้นจึงอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2528ศาลฎีกาพิพากษาแก้เป็นลงโทษจำเลยที่ 1 ที่ 2 ส่วนจำเลยที่ 3และที่ 4 ยกฟ้อง ต่อมาวันที่ 15 และ 16 มกราคม 2529 ผู้ประกันยื่นคำร้องรวม 2 ฉบับ มีใจความว่าผู้ประกันติดตามนำตัวจำเลยที่ 3 มาส่งศาลไว้แล้ว ได้สอบถามจำเลยที่ 3 ปรากฏว่าจำเลยที่ 3ไม่มาศาลเพราะไม่ได้รับหมายนัดของศาลเนื่องจากหมายนัดส่งไปยังกำนันต่างท้องที่กับจำเลยที่ 3 พักอาศัยอยู่ ผู้ประกันเสียค่าใช้จ่ายในการติดตามหาจำเลยที่ 3 เป็นจำนวนมาก จึงขอให้ศาลงดปรับหรือลดค่าปรับให้เหลือน้อยที่สุดศาลชั้นต้นมีคำสั่ง ผู้ร้องเป็นผู้ประกันจำเลยที่ 2 ด้วย ศาลสั่งปรับสำหรับการประกันตัวจำเลยที่ 2 และที่ 3 คนละ 600,000 บาท ผู้ร้องยังไม่ได้ชำระค่าปรับเลย ได้เรียกผู้ร้องมาสอบถามแล้ว ผู้ร้องแถลงขอชำระค่าปรับ 300,000 บาท ภายในกำหนด 3 เดือน ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปส่วนที่เหลือขอผัดชำระต่อไปในคราวหน้า จึงให้รอฟังผลการปฏิบัติเรื่องชำระค่าปรับของผู้ร้องก่อน วันที่ 16 เมษายน 2529 ผู้ประกันยื่นคำร้องว่า ขอนำเงินค่าปรับจำนวน 300,000 บาท วางชำระค่าปรับเฉพาะจำเลยที่ 2 ส่วนจำนวน 300,000 บาท ที่เหลือขออนุญาตชำระเป็นเดือน เดือนละ 20,000 บาท ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่ารับเงิน300,000 บาท ส่วนค่าปรับสำหรับจำเลยที่ 2 ที่ค้างอีก300,000 บาท ให้ผ่อนชำระได้ในอัตราเงินเดือนละ 200,000 บาทให้ชำระเดือนแรกภายในวันที่ 16 พฤษภาคม 2529 ชำระเดือนต่อ ๆ ไปภายในวันที่ 16 ของเดือนถัดไปจนกว่าจะครบ ผิดนัดเดือนใดให้บังคับคดีในค่าปรับที่ค้างทั้งหมดทันที และในวันเดียวกันนั้นผู้ประกันยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นพร้อมกันอีกฉบับหนึ่งขอให้ศาลลดค่าปรับหรืองดปรับในส่วนของจำเลยที่ 3 เนื่องจากผู้ประกันจับจำเลยที่ 3 ส่งศาลได้แล้ว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 3 ผู้ประกันจำเลยที่ 3 สามารถนำตัวจำเลยที่ 3มาส่งศาลได้ สมควรลดค่าปรับให้ ให้ปรับผู้ประกันสำหรับการประกันจำเลยที่ 3 เพียง 50,000 บาท โดยมีเงื่อนไขว่าต้องชำระค่าปรับดังกล่าวภายในกำหนด 1 เดือน และต้องไม่ผิดนัดการชำระค่าปรับสำหรับจำเลยที่ 2 ด้วย มิฉะนั้นให้ปรับเต็มตามสัญญาประกัน
ผู้ประกันอุทธรณ์ ขอให้ลดค่าปรับลงอีก และควรแยกสัญญาประกันจำเลยที่ 2 ออกจากจำเลยที่ 2 เงื่อนไขการชำระค่าปรับสำหรับจำเลยที่ 3 จึงไม่ควรผูกพันกับการชำระค่าปรับของจำเลยที่ 2ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ผู้ประกันฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่ผู้ประกันฎีกาขอลดค่าปรับโดยอ้างเหตุผลว่า ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาวันที่ 11 ธันวาคม 2528ผู้ประกันนำจำเลยที่ 3 มาส่งศาลชั้นต้นวันที่ 15 มกราคม 2529โดยใช้เวลา 1 เดือน 4 วัน เสียค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมากตามหลักฐานที่ส่งศาล โดยมิได้รู้เห็นเป็นใจกับจำเลยที่ 3 จึงขอให้ลดค่าปรับลงอีกและฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า คำสั่งศาลชั้นต้นเกี่ยวกับการปรับผู้ประกันเฉพาะจำเลยที่ 3 ให้มีเงื่อนไขเกี่ยวพันกับการปรับผู้ประกันในส่วนของจำเลยที่ 2 เป็นการไม่ชอบนั้น ตามข้อเท็จจริงได้ความว่า เดิมศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 97, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2522) เรื่องระบุชื่อและประเภทยาเสพติดให้โทษ ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522ลงวันที่ 17 กันยายน 2522 ให้จำคุกจำเลยทั้งสี่ตลอดชีวิตเปลี่ยนโทษจำคุกตลอดชีวิตจำเลยที่ 2 เป็นโทษจำคุก 50 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 51 เพิ่มโทษจำเลยที่ 2 อีกกึ่งหนึ่งตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 97 คงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 75 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ของกลางริบ ศาลฎีกาพิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15, 66 วรรคสอง ให้จำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 2 ตลอดชีวิต ส่วนจำเลยที่ 3 ที่ 4ให้ยกฟ้อง ของกลางริบ แต่ก่อนวันนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกาศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 มีประกัน เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2526 ต่อมาศาลชั้นต้นนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกาวันที่ 1 ตุลาคม 2528 จำเลยที่ 2 ที่ 3 ไม่มาศาล ผู้ประกันอ้างว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 เปิดร้านค้าขายอยู่ที่อำเภอแม่สายจังหวัดเชียงราย ยังติดต่อไม่ได้ ศาลชั้นต้นเลื่อนนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกาไปวันที่ 6 พฤศจิกายน 2528 จำเลยที่ 2 ที่ 3 ไม่มาศาลโดยผู้ประกันอ้างว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 โทรเลขบอกว่าไม่สามารถมาศาลได้ เพราะติดรับเหมางาน ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งให้ปรับผู้ประกันออกหมายจับจำเลยที่ 2 ที่ 3 และเลื่อนนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกาไปวันที่ 11 ธันวาคม 2528 ถึงวันนัดจำเลยที่ 2 ที่ 3ไม่มา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ดำเนินการบังคับคดีตามสัญญาประกันเมื่อวันที่ 17 เดือนเดียวกัน วันที่ 15 มกราคม 2529 ผู้ประกันนำตัวจำเลยที่ 3 ส่งศาลชั้นต้นพร้อมกับยื่นคำร้องขอลดค่าปรับอ้างเหตุว่าเหตุที่จำเลยที่ 3 ไม่ไปฟังคำพิพากษาศาลฎีกาตามนัดเพราะจำเลยที่ 3 ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ที่อำเภอกระทุ่มแบนจังหวัดสมุทรสาคร ไปทำงานที่ภาคใต้ ไม่ได้รับหมายนัดของศาลชั้นต้น และยื่นคำร้องเพิ่มเติมลงวันที่ 16 มกราคม 2529กับ 16 เมษายน 2529 ในความเดียวกัน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งลดค่าปรับผู้ประกันเฉพาะจำเลยที่ 3 เหลือจำนวน 50,000 บาท โดยมีเงื่อนไขว่า ต้องชำระค่าปรับภายในกำหนด 1 เดือน และต้องไม่ผิดนัดการชำระค่าปรับจำเลยที่ 2 ด้วย มิฉะนั้นให้ปรับเต็มตามสัญญาประกันศาลฎีกาเห็นว่าคดีนี้เป็นคดีมีอัตราโทษสูง ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 75 ปี จำคุกจำเลยที่ 3 ตลอดชีวิตแม้ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ แต่ผู้ประกันจำเลยที่ 2 ที่ 3ระหว่างฎีกาก็พึงตระหนักว่าจะต้องมีหน้าที่ปฏิบัติตามสัญญาประกันลงวันที่ 15 ธันวาคม 2526 มิฉะนั้นจะต้องถูกปรับคนละ 600,000 บาทเมื่อปรากฏต่อมาว่า จำเลยที่ 2 ที่ 3 ไม่มาฟังคำพิพากษาศาลฎีกาตามหมายนัดจนศาลชั้นต้นออกหมายจับวันที่ 6 พฤศจิกายน 2528 แล้วผู้ประกันซึ่งผิดสัญญาประกันไม่นำตัวจำเลยที่ 2 ที่ 3 มาวางศาลตามนัด ก็ต้องชำระค่าปรับตามสัญญา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 119 ซึ่งบัญญัติว่า “ในกรณีที่ผิดสัญญาประกันต่อศาล ศาลมีอำนาจสั่งบังคับตามสัญญาประกันหรือตามที่ศาลเห็นควรโดยมิต้องฟ้อง” และเมื่อผู้ประกันทำสัญญาประกันจำเลยที่ 2 ที่ 3เป็นฉบับเดียวกันเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2526 ศาลชั้นต้นย่อมมีอำนาจสั่งปรับผู้ประกันเพราะเหตุผิดสัญญาประกันในคำสั่งเดียวกันได้และเมื่อภายหลังผู้ประกันนำตัวจำเลยที่ 3 มาส่งศาลชั้นต้นหลังวันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ปรับผู้ประกันเป็นเวลา 1 เดือนเศษศาลชั้นต้นย่อมมีอำนาจที่จะมีคำสั่งลดจำนวนค่าปรับผู้ประกันเฉพาะจำเลยที่ 3 ภายในเงื่อนไขซึ่งเกี่ยวพันกับการปรับผู้ประกันในส่วนของจำเลยที่ 2 ได้ ตามที่ศาลชั้นต้นเห็นสมควรโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 119 นั้นเอง โดยไม่จำต้องแยกคำสั่งปรับผู้ประกัน กรณีผิดสัญญาประกันตัวจำเลยที่ 2 และที่ 3 ออกจากกันดังที่ผู้ประกันฎีกา นอกจากนี้เมื่อคำนึงถึงพฤติการณ์ที่จำเลยที่ 2ที่ 3 หลบหนีไม่มาฟังคำพิพากษาศาลฎีกาตามนัด จนทราบว่าศาลฎีกามีคำพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3 ผู้ประกันจึงสามารถนำตัวจำเลยที่ 3 มาศาลหลังเกิดเหตุ 1 เดือนเศษที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นลดค่าปรับในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 3 จากจำนวน 600,000 บาท เหลือเพียง 50,000 บาท โดยมีเงื่อนไขให้ผู้ประกันผ่อนชำระค่าปรับกรณีประกันผิดสัญญาประกันเฉพาะจำเลยที่ 2 ให้ครบตามกำหนดเวลาในคำร้องของผู้ประกันลงวันที่ 16 เมษายน 2529 นั้น แม้ฟังว่าผู้ประกันต้องเสียค่าใช้จ่ายติดตามตัวจำเลยมาศาล แต่ก็เห็นว่าเป็นคุณแก่ผู้ประกันอยู่แล้วศาลฎีกาไม่มีเหตุแก้ไข”
พิพากษายืน