คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 34/2536

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งห้าเป็นคดีอาญาและคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องคดีอาญา การพิจารณาคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46เมื่อจำเลยที่ 4 ถึงแก่ความตาย สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไป ตามมาตรา 39(1) เมื่อศาลชั้นต้นสั่งจำหน่ายคดีของจำเลยที่ 4 จากสารบบความแล้ว ศาลจะพิพากษาส่วนอาญาเกี่ยวกับจำเลยที่ 4 ไม่ได้ การเรียกผู้จัดการมรดกของจำเลยที่ 4 เข้ามาเป็นคู่ความแทนจำเลยที่ 4 เฉพาะคดีส่วนแพ่งก็ไม่อาจนำข้อเท็จจริงในคำพิพากษาส่วนอาญาเกี่ยวกับจำเลยอื่นมาฟังในคดีส่วนแพ่งของจำเลยที่ 4 ได้ การเรียกผู้จัดการมรดกของ จำเลยที่ 4 เข้ามาเป็นคู่ความแทนจำเลยที่ 4 จึงไม่เป็นการสะดวก แก่การพิจารณาพิพากษา ศาลชั้นต้นไม่เรียกทายาทจำเลยที่ 4 เข้ามา ในคดีจึงชอบแล้ว ส่วนที่โจทก์ขอให้สั่งให้โจทก์แยกฟ้องจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 และผู้จัดการมรดกของจำเลยที่ 4 เป็นคดีใหม่นั้น เป็น เรื่องที่โจทก์ต้องไปร้องขอต่อศาลชั้นต้น จะขอขึ้นมา ในชั้นอุทธรณ์ฎีกาไม่ได้

ย่อยาว

กรณีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งห้าได้ร่วมกันกระทำผิดต่อโจทก์ดังนี้คือ ก. จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 และที่ 4ได้ร่วมกันทำพยานหลักฐานอันเป็นเท็จ โดยทำเป็นบันทึกข้อเท็จจริงว่า โจทก์ได้ให้นายบุญธรรมไปขอยืม ส.ค.1 ไปเพื่อออก น.ส.3จำเลยที่ 1 จึงได้เอาไปมอบให้กับนายพาน แล้วนายพานก็ให้เซ็นชื่อในกระดาษหลายแผ่นโดยไม่ได้ให้ดูข้อความเข้าใจว่าเกี่ยวกับการออก น.ส.3 ของเขาและว่า จำเลยที่ 1 ไม่เคยขายที่ดิน ให้แก่โจทก์ หากมีสัญญาซื้อขายระหว่างจำเลยที่ 1 กับโจทก์หรือ นางบุญสม ศรีสุเทพก็เป็นสัญญาทำซึ่งทำปลอมขึ้น ซึ่งข้อความดังกล่าวนี้เป็นความเท็จทั้งสิ้น ความจริงแล้ว โจทก์ไม่เคยขอให้จำเลยที่ 1 นำ ส.ค.1 ไปมอบให้พยาน และนายพานไม่เคยให้จำเลยที่ 1 เซ็นชื่อในกระดาษหลายแผ่นเลย ความจริงแล้วจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาซื้อขายที่ดินของจำเลยที่ 1 ให้แก่นางบุญสม ศรีเทพไว้โดยถูกต้อง ทั้งนี้โดยจำเลยทั้งสี่ประสงค์จะให้พนักงานสอบสวนหรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนเชื่อว่า โจทก์ได้กระทำความผิดอาญาในข้อหาร่วมกันปลอมและใช้เอกสารปลอมเพื่อดำเนินการฟ้องร้องโจทก์กับพวกต่อไป ข. ต่อมาจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ได้ร่วมกันนำพยานหลักฐานเท็จดังกล่าวแล้วไปแจ้งความร้องทุกข์ต่อจำเลยที่ 5 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานและเป็นพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองพิจิตรว่า นางบุญสม ศรีสุเทพ และโจทก์ได้ร่วมกันปลอมและใช้เอกสารสิทธิปลอมซึ่งเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264, 265, และ 268 มีระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงห้าปี และขอให้ดำเนินคดีโจทก์ในข้อหาเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ โดยโจทก์ในขณะนั้นเป็นนายกเทศมนตรีเมืองพิจิตร มีหน้าที่ดูแลที่สาธารณะรู้อยู่แล้วว่าที่ดินเป็นของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ครอบครองอยู่ กลับไปรับรองว่าเป็นที่ดินของจำเลยที่ 1 ขายให้แก่นางบุญสม ศรีสุเทพภรรยาของโจทก์ ซึ่งเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และในข้อหาว่าแจ้งความเท็จต่อพนักงานที่ดิน ว่าที่ดินเป็นของนางบุญสม ศรีสุเทพ ทั้งนี้โดยจำเลยทั้งสามทราบดีอยู่แล้วว่ามิได้มีการกระทำผิดเกิดขึ้น และข้อความที่ตนแจ้งความร้องทุกข์นั้นเป็นข้อความเท็จเกี่ยวกับคดีอาญา ซึ่งอาจทำให้โจทก์หรือประชาชนเสียหายได้ ความจริงแล้วโจทก์ทราบดีว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของนางบุญสม ศรีสุเทพ หาใช่ที่ดินของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ไม่ และโจทก์ก็ได้ไประวังแนวเขตที่ดินตามหนังสือมอบอำนาจของนายอำเภอเมืองพิจิตร ถูกต้องชอบด้วยกฎหมายทุกประการ ค.ต่อมาจำเลยที่ 5 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานโดยเป็นพนักงานสอบสวนประจำสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองพิจิตรได้รับแจ้งความร้องทุกข์จากจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ตามคำฟ้องข้อ ข. แล้วขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตรออกหมายจับโจทก์และนางบุญสม ศรีสุเทพมาดำเนินคดีตามข้อหาของจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 โจทก์กับพวกจึงได้เข้ามอบตัวต่อจำเลยที่ 5 จำเลยที่ 5 ได้ส่งตัวโจทก์กับพวกมาให้พนักงานอัยการจังหวัดพิจิตรทำการฟ้องโจทก์กับพวกต่อศาลจังหวัดพิจิตรในข้อหาดังกล่าว โดยได้แสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีซึ่งเป็นพยานหลักฐานในข้อสำคัญในคดีนั้นตลอดมา ในทีสุดศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาเมื่อวันที่15 มิถุนายน 2531 เวลากลางวัน ให้ยกฟ้องโจทก์ (พนักงานอัยการ)ปรากฏตามสำนวนคดีอาญาหมายเลขดำที่ 804/2528 แดงที่ 1671/2528ของศาลจังหวัดพิจิตร ทั้งนี้โดยจำเลยที่ 5 ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานสอบสวนโดยมิชอบ เพราะจำเลยที่ 5 มีหน้าที่ต้องรวบรวมพยานหลักฐานต่าง ๆ เพื่อที่จะทราบข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ต่าง ๆ เพื่อที่จะรู้ตัวผู้กระทำผิดและพิสูจน์ให้เห็นความผิดแต่จำเลยที่ 5 กลับร่วมมือกับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ละเว้นไม่แสวงหาหลักฐานมาประกอบสำนวนให้แน่ชัดว่า จำเลยที่ 2 ที่ 3และที่ 4 เป็นเจ้าของที่ดินที่แท้จริงผู้มีอำนาจจะเป็นผู้เสียหายร้องทุกข์กล่าวโทษโจทก์ได้หรือไม่ และละเว้นไม่ทำการสืบสวนว่าบันทึกข้อเท็จจริงที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ร่วมกันทำขึ้นและนำมาร้องทุกข์นั้นเป็นความจริงหรือไม่ กลับละเว้นไม่ทำการสืบสวนว่าที่ดินตามที่ผู้เสียหายแจ้งความร้องทุกข์นั้นเป็นที่ดินอย่างไร อาณาเขตข้างเคียงเป็นที่ดินสาธารณะหรือไม่ ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ซึ่งต่อมาได้ถูกพนักงานอัยการฟ้องเป็นจำเลยดังกล่าวแล้ว และความจริงแล้วโจทก์ได้ปฏิบัติหน้าที่โดยชอบและถูกต้องตามกฎหมายและการกระทำของจำเลยทำให้ โจทก์เสียหาย คิดเป็นค่าเสียหายจำนวน 1,000,000 บาท ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172, 173, 179, 180, 181, 83 157 และ 91 ให้จำเลยทั้งห้าชดใช้ค่าเสียหายตามคำฟ้องของโจทก์รวม เป็นเงิน 1,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องต่อไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
ก่อนไต่สวนมูลฟ้องโจทก์ถอนฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 5ศาลชั้นต้นอนุญาต
ในระหว่างการออกหมายเรียกจำเลยที่ 4 มาแก้คดี จำเลยที่ 4 ถึงแก่ความตาย ศาลชั้นต้นสั่งจำหน่ายคดีส่วนอาญาสำหรับจำเลยที่ 4
โจทก์ยื่นคำร้องขอให้เรียกนางบุญเกิด ตั้งสิทธิโชคผู้จัดการมรดกของจำเลยที่ 4 เข้ามาเป็นคู่ความแทนจำเลยที่ 4เฉพาะในส่วนแพ่ง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า มูลคดีจำเลยแต่ละคนแบ่งแยกความรับผิดกันได้ ดังนั้นหากจะเรียกทายาทของจำเลยที่ 4 เข้ามาเฉพาะคดีแพ่งจะไม่สะดวกในการพิจารณา จึงไม่อนุญาต ถ้าโจทก์ประสงค์จะดำเนินคดีกับทายาทของจำเลยที่ 4 เป็นคดีแพ่งก็ให้โจทก์ไปฟ้องเป็นคดีใหม่โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืนโจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่โจทก์ฎีกาว่าคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 2ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 42 ขอให้มีคำสั่งอนุญาตให้เรียกนางบุญเกิด ตั้งสิทธิโชค ผู้จัดการมรดกของจำเลยที่ 4 เข้าเป็นคู่ความแทนจำเลยที่ 4 เฉพาะคดีส่วนแพ่งตามคำร้อง ของ โจทก์ หรือหากขัดข้อง ก็ขอให้มีคำสั่งให้โจทก์แยกฟ้องจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 และผู้จัดการมรดกของจำเลยที่ 4เฉพาะในส่วนแพ่งเป็นคดีใหม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 41 นั้น เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งห้าเป็นคดีอาญาและคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องคดีอาญา การพิจารณาคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 เมื่อจำเลยที่ 4ถึงแก่ความตาย สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไป ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(1) เมื่อศาลชั้นต้นสั่งจำหน่ายคดีของจำเลยที่ 4 จากสารบบความแล้ว ศาลจะพิพากษาส่วนอาญาเกี่ยวกับจำเลยที่ 4 ไม่ได้ การเรียกผู้จัดการมรดกของจำเลยที่ 4 เข้ามาเป็นคู่ความแทนจำเลยที่ 4 เฉพาะคดีส่วนแพ่งก็ไม่อาจฟังข้อเท็จจริงในคำพิพากษาส่วนอาญาเกี่ยวกับจำเลยอื่นมาฟังในคดีส่วนแพ่งของจำเลยที่ 4 ได้ การเรียกผู้จัดการมรดกของจำเลยที่ 4 เข้ามาเป็นคู่ความแทนจำเลยที่ 4จึงไม่เป็นการสะดวกแก่การพิจารณาพิพากษา ส่วนที่โจทก์ขอให้สั่งให้โจทก์แยกฟ้องจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 และผู้จัดการมรดกของจำเลยที่ 4 เป็นคดีใหม่นั้น เป็นเรื่องที่โจทก์ต้องไปร้องขอต่อศาลชั้นต้น จะขอขึ้นมาในชั้นอุทธรณ์ฎีกาไม่ได้ ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share