แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ปรากฏตามบัญชีกระแสรายวันว่า นับแต่วันที่ 1 สิงหาคม2519 ซึ่งเป็นวันครบกำหนดการต่ออายุสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีครั้งสุดท้าย จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ได้เบิกเงินออกจากบัญชีเลย และไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2เบิกเงินเกินบัญชีต่อไปอีก คงมีแต่โจทก์คิดดอกเบี้ยทบต้นลงไว้ในบัญชีเท่านั้น จึงไม่มีลักษณะเป็นการเดินสะพัดทางบัญชี พฤติการณ์ของคู่กรณีที่ปฏิบัติต่อกันแสดงให้เห็นเจตนาได้ว่า ทั้งสองฝ่ายให้ถือว่าสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีอันเป็นสัญญาบัญชีเดินสะพัดสิ้นสุดลงนับแต่วันที่ 1 สิงหาคม2519 ดังนั้น โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยทั้งสามชำระหนี้นับแต่วันถัดจากวันดังกล่าวเป็นต้นไป โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2529เกินกำหนด 10 ปี ฟ้องโจทก์สำหรับต้นเงินซึ่งคำนวณถึงวันที่1 สิงหาคม 2519 จึงขาดอายุความ ส่วนสิทธิเรียกร้องให้จำเลยทั้งสามชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของต้นเงินดังกล่าวหลังจากวันที่ 1 สิงหาคม 2519 ซึ่งเป็นหนี้ส่วนที่เป็นอุปกรณ์อันต้องอาศัยต้นเงินส่วนที่เป็นประธานซึ่งขาดอายุความ ย่อมขาดอายุความตามกันไปด้วยทั้งหมดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 190 เดิม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2514 จำเลยที่ 1และที่ 2 เปิดบัญชีกระแสรายวันประเภทบุคคลธรรมดากับธนาคารโจทก์สาขาขอนแก่น บัญชีเลขที่ 0132 ต่อมาวันที่ 2 สิงหาคม 2516จำเลยที่ 1 และที่ 2 ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์ภายในวงเงิน 50,000 บาท มีกำหนดเวลา 12 เดือน นับแต่วันทำสัญญาและยอมเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 14 ต่อปี โดยวิธีทบต้นชำระภายในวันที่ 5 ของทุกเดือนตามประเพณีการค้าของธนาคารพาณิชย์จำเลยที่ 3 เป็นผู้ทำสัญญาค้ำประกันและยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมจำเลยที่ 1 และที่ 2 เดินสะพัดทางบัญชีกับโจทก์จนครบกำหนดตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี แล้วจำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ขอต่อสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีออกไปอีก 2 ครั้ง จากวันที่ 1 สิงหาคม2517 ถึงวันที่ 1 สิงหาคม 2519 ยอมให้คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ตามหนังสือต่ออายุสัญญาท้ายฟ้อง หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 และที่ 2 มีการเดินสะพัดทางบัญชีเรื่อยมาจนถึงวันที่ 30 มีนาคม 2520 โจทก์บอกเลิกสัญญาและหักทอนบัญชีแล้วจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นหนี้โจทก์อยู่ 55,117.13 บาทโจทก์ทวงถามแล้วจำเลยทั้งสามไม่ชำระ โจทก์คิดดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ถึงวันฟ้องเป็นดอกเบี้ย 79,640.38 บาทขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 134,757.51 บาทกับดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของต้นเงิน 55,117.13 บาทนับแต่วันถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสามให้การว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีโดยต่ออายุสัญญา 2 ครั้ง และจำเลยที่ 3ได้ทำสัญญาค้ำประกันตามเอกสารท้ายฟ้องจริง แต่สัญญาเบิกเงินเกินบัญชีมีกำหนดชำระหนี้แน่นอน และเงินที่เบิกเกินบัญชีกระแสรายวันเลขที่ 0132 หากไม่มีการต่ออายุสัญญา สัญญาก็จะสิ้นสุดลงทันทีการต่ออายุสัญญาครั้งที่ 2 ตกลงให้สัญญาสิ้นสุดลงในวันที่ 1 สิงหาคม 2519 จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้บอกเลิกสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีและให้หักทอนบัญชีคงเหลือเงินที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 จะต้องชำระอยู่ 50,000 บาท โจทก์ฟ้องคดีวันที่ 13 พฤศจิกายน 2529เกิน 10 ปีแล้ว คดีโจทก์ขาดอายุความ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมไม่ได้บรรยายว่าหลังจากจำเลยที่ 1 และที่ 2 ต้องชำระหนี้เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2519 แล้ว จำเลยที่ 1 และที่ 2 นำเงินเข้าบัญชีอีกหรือไม่เพียงใด จนกระทั่งวันที่ 30 มีนาคม 2520อันเป็นวันบอกเลิกสัญญา โดยไม่ได้บอกว่าโจทก์หรือจำเลยเป็นผู้ผิดนัด โจทก์ไม่ได้แนบบัญชีกระแสรายวันเลขที่ 0132มาท้ายฟ้อง จำเลยทั้งสามไม่เคยได้รับหนังสือบอกกล่าวทวงถามให้ชำระหนี้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระต้นเงิน55,117.13 บาท กับดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของต้นเงินจำนวนดังกล่าวนับถึงวันฟ้องเป็นเวลา 5 ปี และต่อไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามคำฟ้อง คำให้การและทางพิจารณาข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2514 จำเลยที่ 1และที่ 2 เปิดบัญชีกระแสรายวันกับธนาคารโจทก์ สาขาขอนแก่นบัญชีเลขที่ 0132 ต่อมาวันที่ 2 สิงหาคม 2516 จำเลยที่ 1 และที่ 2ได้ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์ภายในวงเงิน 50,000 บาทมีกำหนดเวลา 12 เดือน นับแต่วันทำสัญญา ยอมเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 14 ต่อปี โดยวิธีทบต้นตามประเพณีการค้าของธนาคารพาณิชย์จำเลยที่ 3 เป็นผู้ทำสัญญาค้ำประกันการชำระหนี้ดังกล่าวโดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม หลังจากทำสัญญาแล้ว จำเลยที่ 1และที่ 2 ได้ออกเช็คสั่งจ่ายเงินในบัญชีและนำเงินฝากเข้าบัญชีหลายครั้ง ครั้นครบกำหนดสัญญาจำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ขอต่ออายุสัญญาอีก 2 ครั้ง มีกำหนดครั้งละ 12 เดือน มีจำเลยที่ 3เป็นผู้ทำสัญญาค้ำประกันโดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมตกลงคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ครั้นครบกำหนดการต่ออายุสัญญาครั้งสุดท้ายในวันที่ 1 สิงหาคม 2519 จำเลยที่ 1และที่ 2 มิได้เบิกเงินออกจากบัญชีหรือนำเงินเข้าบัญชีอีกหลังจากนั้นโจทก์ได้คิดดอกเบี้ยทบต้นตลอดมาจนถึงวันที่ 30 มีนาคม 2520 จำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นหนี้โจทก์ 55,117.13 บาทและต่อจากนั้นถึงวันฟ้องเป็นเวลา 9 ปี 7 เดือน 14 วันโจทก์คิดดอกเบี้ยไม่ทบต้นเป็นเงิน 79,640.38 บาท ปัญหาประการแรกตามฎีกาของจำเลยทั้งสองมีว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่
ปัญหาดังกล่าวมีข้อจะต้องพิจารณาว่า สัญญาเบิกเงินเกินบัญชีอันเป็นสัญญาบัญชีเดินสะพัดสิ้นสุดลงเมื่อใดซึ่งจะเป็นเหตุให้โจทก์มีสิทธิเรียกร้องภายในกำหนด 10 ปี ปัญหานี้ปรากฏตามบัญชีกระแสรายวันว่า นับแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2519 ซึ่งเป็นวันครบกำหนดการต่ออายุสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีครั้งสุดท้ายจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ได้เบิกเงินออกจากบัญชีเลย และไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 เบิกเงินเกินบัญชีต่อไปอีกคงมีแต่โจทก์คิดดอกเบี้ยทบต้นลงไว้ในบัญชีเท่านั้น ข้อเท็จจริงดังกล่าวไม่มีลักษณะเป็นการเดินสะพัดทางบัญชีดังที่โจทก์กล่าวอ้างแต่อย่างใด ศาลฎีกาเห็นว่า พฤติการณ์ของคู่กรณีที่ปฏิบัติต่อกันแสดงให้เห็นเจตนาได้ว่า ทั้งสองฝ่ายให้ถือว่าสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีอันเป็นสัญญาบัญชีเดินสะพัดสิ้นสุดลงนับแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2519 ดังนั้น โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยทั้งสามชำระหนี้นับแต่วันถัดจากวันดังกล่าวเป็นต้นไปแต่โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2529 เกินกำหนด 10 ปีฟ้องโจทก์สำหรับต้นเงินซึ่งคำนวณถึงวันที่ 1 สิงหาคม 2519จึงขาดอายุความส่วนสิทธิเรียกร้องให้จำเลยทั้งสามชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวหลังจากวันที่1 สิงหาคม 2519 ซึ่งเป็นหนี้ส่วนที่เป็นอุปกรณ์อันต้องอาศัยต้นเงินส่วนที่เป็นประธานซึ่งขาดอายุความ ย่อมขาดอายุความตามกันไปด้วยทั้งหมดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 190 (เดิม)
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์