คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 685/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยขับขี่รถจักรยานยนต์ด้วยความเร็วประมาณ50 กิโลเมตร ต่อชั่วโมง ในขณะที่การจราจรบริเวณที่เกิดเหตุไม่พลุกพล่าน ยังไม่อาจถือได้ว่าจำเลยขับขี่รถเร็วเกินไปขณะเกิดเหตุ พ. ขับขี่รถจักรยานยนต์ตัดหน้ารถของจำเลยอย่างกระชั้นชิด จำเลยไม่อาจหยุดรถได้ทันจึงเกิดชนกันขึ้นจึงมิใช่ความประมาทของจำเลยทั้งในขณะเกิดเหตุรถชนกันเวลาประมาณทุ่มเศษ เป็นเวลาเพิ่งเริ่มจะมืดแต่ยังมีแสงสว่างจากไฟฟ้าเกาะกลางถนน สามารถมองเห็นได้ในระยะไกลพอสมควร ในถนนที่การจราจรไม่พลุกพล่าน การที่จำเลยไม่เปิดไฟหน้ารถ ก็ยังไม่อาจถือว่าจำเลยขับรถโดยประมาทจนเป็นเหตุให้เกิดการชนกันขึ้นเช่นกัน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้อง ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 291, 390, 91 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522มาตรา 43, 157 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา(ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4 พระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522มาตรา 6, 11, 59, 60
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นางสิริลักษณ์ สิทธิภาพ มารดาของนายสุเมธ วงศ์กาฬสินธุ์ ผู้ตาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 291, 390 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522มาตรา 43, 157, พระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 มาตรา 11, 60ให้ลงโทษฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายซึ่งเป็นบทหนักจำคุก 2 ปี ฐานไม่แสดงแผ่นป้ายและเครื่องหมายปรับ400 บาท จำเลยนำสืบรับว่าขับรถจักรยานยนต์ที่ผู้เสียหายนั่งเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 ลดโทษฐานกระทำโดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายหนึ่งในสามจำคุก 1 ปี 4 เดือน รวมจำคุกจำเลย 1 ปี 4 เดือน ปรับ 400 บาท คำขออื่นของโจทก์ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ในฐานะกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและบาดเจ็บตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291, 390 และตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43, 157 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และโจทก์ร่วมฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่าวันเกิดเหตุเวลาเย็นประมาณ 18-19 นาฬิกา จำเลยขับขี่รถจักรยานยนต์ด้วยความเร็วประมาณ 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยไม่ได้เปิดไฟหน้ารถไปตามถนนสุขเกษม ซึ่งเป็นทางคู่ขนาน มีช่องเดินรถ 2 ช่องและมีเกาะกลางถนนด้วย ขณะเดียวกันนายไพศาล ได้ขับขี่รถจักรยานยนต์มีนายสุเมธ นั่งซ้อนท้ายแล่นออกมาจากข้างทางด้านซ้ายมือเข้าไปในถนนสุขเกษมแล้วตัดข้ามถนนเพื่อไปถนนฝั่งตรงข้าม รถจักรยานยนต์ของจำเลยจึงชนรถจักรยานยนต์ที่นายไพศาลขับขี่ที่บริเวณโช้คอัพหลัง รถจักรยานยนต์ทั้งสองคันล้มลง นายไพศาลได้รับอันตรายแก่กาย ส่วนนายสุเมธถึงแก่ความตายในเวลาต่อมาเดิมโจทก์ฟ้องจำเลยกับนายไพศาลเป็นคดีเดียวกัน ข้อหาประมาททำให้คนตาย นายไพศาลให้การรับสารภาพ ศาลพิพากษาลงโทษไปแล้ว โจทก์จึงมาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้มีปัญหาในชั้นนี้ว่า จำเลยขับขี่รถจักรยานยนต์โดยประมาทอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291, 390 และพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43, 157 หรือไม่
พิเคราะห์แล้ว โจทก์และโจทก์ร่วมฎีกาว่า การที่จำเลยขับขี่รถจักรยานยนต์ในขณะเมาสุรามิได้เปิดไฟหน้ารถในความเร็วประมาณ 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มาถึงที่เกิดเหตุซึ่งมีซอยทางซ้ายมือเกือบตรงกับช่องให้รถเลี้ยวกลับไปถนนทางขวามือแต่มิได้ชะลอรถและมองให้ดีเป็นการขับขี่รถโดยประมาทจึงมีความผิดนั้นเห็นว่า ในปัญหาที่ว่าจำเลยขับขี่รถเร็วเกินไปหรือไม่นั้นโจทก์มีประจักษ์พยาน 2 ปาก คือนายยุทธนัย ปุนริบูรณ์ กับนายไพศาล ผาใต้ นายยุทธนัยเบิกความว่า พยานขับขี่รถจักรยานยนต์ตามหลังจำเลยมาห่างรถจำเลยประมาณ 5 เมตร จำเลยขับขี่รถด้วยความเร็วประมาณ 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ช่วงเกิดเหตุการจราจรบริเวณที่เกิดเหตุไม่พลุกพล่าน เช่นนี้ตามพฤติการณ์ยังไม่อาจถือว่าจำเลยขับขี่รถเร็วเกินไป ส่วนการที่รถชนกันจะถือว่าเกิดขึ้นเพราะความประมาทของจำเลยหรือไม่นั้น นายยุทธนัยเบิกความตอบคำถามค้านของทนายจำเลยว่า ตอนที่นายไพศาลขับขี่รถข้ามถนนนั้นมิได้ให้สัญญาณไฟเลี้ยวและขับอยู่ข้างหน้าพยานประมาณ 8 เมตร โดยพยานขับขี่รถห่างจำเลย 5 เมตร ขณะเกิดเหตุพยานไม่คิดว่านายไพศาลจะหักรถเลี้ยวตัดหน้ารถพยานนายไพศาลหักรถเลี้ยวตัดหน้ารถพยานแล้ว ได้หักเลี้ยวด้วยความเร็วเพื่อให้พ้นรถพยาน แต่ก็ขับไปชนกับรถของจำเลย ถ้าพยานเป็นจำเลยพยานก็ไม่สามารถที่จะหยุดได้ทันเพื่อมิให้รถชนรถนายไพศาลเช่นนี้จะเห็นได้ว่าจากคำพยานโจทก์นั้น นายไพศาลขับขี่รถจักรยานยนต์ตัดหน้ารถของจำเลยอย่างกระชั้นชิด จำเลยจึงไม่อาจหยุดรถได้ทัน มิใช่จำเลยขับขี่รถโดยประมาท ส่วนที่จำเลยมิได้เปิดไฟหน้ารถนั้นจำเลยเบิกความว่าเพราะสามารถมองเห็นทางได้ ในข้อนี้พยานโจทก์ต่างเบิกความว่าเกิดเหตุเวลาประมาณทุ่มเศษ นายยุทธนัยเบิกความว่าไฟเกาะกลางถนนสามารถมองเห็นได้ในระยะไม่เกิน 10 เมตร นายไพศาลเบิกความว่าแสงไฟจากเกาะกลางถนนกับแสงไฟจากบ้านริมถนนทำให้มองเห็นชัดเจนได้ในระยะ 30 เมตร ร้อยตำรวจตรีพุฒินันท์ อำพันธ์ พนักงานสอบสวนเบิกความว่า แสงไฟในที่เกิดเหตุในวันนั้นสามารถมองเห็นเป็นรถเป็นคนในระยะ 15 เมตร ส่วนจำเลยเบิกความว่าแสงสว่างไม่กระจ่างชัดเป็นเวลาโพล้เพล้ ใกล้มืด ไฟเกาะกลางถนนเปิดแล้ว รถที่ขับขี่บนถนนบางคันก็เปิดไฟแล้ว เช่นนี้ ในภาวะที่เป็นเวลาที่เพิ่งเริ่มจะมืดประกอบกับมีแสงสว่างจากไฟเกาะกลางถนนสามารถมองเห็นได้ในระยะไกลพอสมควร ในถนนที่การจราจรไม่พลุกพล่านเช่นนี้การที่จำเลยขับขี่รถจักรยานยนต์โดยไม่ได้เปิดไฟหน้ารถ จึงยังไม่อาจถือว่าจำเลยขับรถโดยประมาทจนเป็นเหตุให้เกิดการชนกันนอกจากนี้ข้อนำสืบของโจทก์ก็ฟังไม่ได้ว่าจำเลยไม่ระมัดระวังดูรถคันอื่นให้ดีหรือขับขี่รถในขณะเมาสุราตามที่โจทก์และโจทก์ร่วมกล่าวอ้างในฎีกาแต่อย่างใด คดีฟังไม่ได้ว่าจำเลยขับขี่รถโดยประมาท”
พิพากษายืน

Share