คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5637/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 ที่ 2 ปลูกบ้านในที่ดินของโจทก์ประมาณร้อยละ 70ส่วนอีกร้อยละ 30 ปลูกอยู่ในที่ดินของจำเลยที่ 1 เมื่อปรากฏว่าโรงเรือนส่วนใหญ่อยู่ในที่ดินของโจทก์ จึงเป็นกรณีปลูกสร้างโรงเรือนในที่ดินของผู้อื่น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1310,1311หาใช่เป็นกรณีปลูกสร้างโรงเรือนรุกล้ำตามมาตรา 1312 ไม่ การที่จำเลยทั้งสี่ปลูกสร้างบ้านลงในที่ดินของโจทก์ โดยรู้ว่าไม่มีสิทธิเช่นนั้น จึงเป็นการปลูกสร้างโรงเรือนในที่ดินของโจทก์โดยไม่สุจริต ตามมาตรา 1311 โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องขอให้จำเลยรื้อถอนบ้านส่วนที่อยู่ในที่ดินของโจทก์ออกไป และจำเลยต้องทำที่ดินให้เป็นตามเดิมแล้วส่งคืนแก่โจทก์โดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย ในคดีส่วนอาญาศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง โดยวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ไม่มีเจตนากระทำความผิดอาญา หาใช่การกระทำโดยมีเจตนาสุจริตตามความหมายในคดีส่วนแพ่งไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดิน จำเลยที่ 1ที่ 2 เป็นสามีภริยากัน เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินที่อยู่ติดกับที่ดินโจทก์ จำเลยที่ 4 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 1ที่ 2 ได้ว่าจ้างจำเลยที่ 3 ที่ 4 ก่อสร้างบ้านลงในที่ดินของจำเลยโดยส่วนใหญ่ของโรงเรือนจำเลยรุกล้ำเข้ามาในที่ดินโจทก์ถึงร้อยละ 80ของที่ดินโจทก์ โดยจำเลยทั้งสี่รู้อยู่แล้วในขณะปลูกสร้างว่าเป็นที่ดินของโจทก์ โจทก์แจ้งให้จำเลยทั้งสี่ระงับการปลูกสร้างและรื้อถอนโรงเรือนส่วนที่รุกล้ำออกไป จำเลยทั้งสี่ไม่เชื่อฟังกลับปลูกสร้างจนแล้วเสร็จ และทำรั้วคอนกรีตรุกล้ำเข้ามาในที่ดินของโจทก์โดยไม่สุจริต เป็นเหตุให้โจทก์เสียหาย โจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอนโรงเรือนไปจากที่ดินโจทก์แล้ว จำเลยเพิกเฉยขอให้ศาลบังคับจำเลยร่วมกันรื้อถอนโรงเรือนออกไปจากที่ดินโจทก์และส่งมอบที่ดินคืนโจทก์ในสภาพเดิม ถ้าจำเลยไม่ปฏิบัติให้โจทก์รื้อถอนเองโดยจำเลยออกค่าใช้จ่าย
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2ได้ซื้อที่ดินจากบริษัทเลาหภูมิพัฒนา จำกัด มีที่ดินติดที่ดินของโจทก์ จำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้ว่าจ้างจำเลยที่ 3 ที่ 4 ปลูกบ้านโดยไม่รู้ว่าปลูกรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ ขณะจำเลยปลูกบ้านไปได้ประมาณร้อยละ 60 จึงทราบว่าได้ปลูกรุกล้ำเข้าไปในที่ดินโจทก์จำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้ปลูกบ้านรุกล้ำเข้าไปในที่ดินโดยเข้าใจว่าเป็นที่ดินของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการกระทำโดยสุจริต โจทก์ไม่มีสิทธิบังคับให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 รื้อบ้านที่ปลูกออกไป ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ที่ 4 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า โรงเรือนของจำเลยส่วนใหญ่ปลูกอยู่ในที่ดินโจทก์ จึงเป็นเรื่องจำเลยก่อสร้างโรงเรือนในที่ดินของผู้อื่นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1310, 1311 จำเลยได้ก่อสร้างโรงเรือนในที่ดินโจทก์โดยไม่สุจริต พิพากษาให้จำเลยรื้อถอนโรงเรือน และทำที่ดินโจทก์ให้เป็นตามสภาพเดิมและส่งคืนให้โจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้โจทก์รื้อถอนเองโดยให้จำเลยทั้งสี่ออกค่าใช้จ่าย ยกฟ้องแย้ง
จำเลยที่ 1 ที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า คดีของโจทก์ต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1312 วรรคสอง โจทก์มีสิทธิฟ้องขอให้จำเลยรื้อถอนบ้านส่วนที่รุกล้ำที่ดินโจทก์ออกไปได้ พิพากษาแก้เป็นว่าให้ยกคำร้องขอของโจทก์ที่ว่าหากจำเลยไม่ยอมรื้อถอนให้โจทก์เป็นผู้รื้อถอนเองโดยให้จำเลยเป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามข้อเท็จจริงฟังได้ว่า บ้านของจำเลยที่ 1ที่ 2 ปลูกอยู่ในที่ดินของโจทก์ประมาณร้อยละ 70 ส่วนอีกร้อยละ 30ปลูกอยู่ในที่ดินของจำเลยที่ 1 เมื่อปรากฏว่าโรงเรือนส่วนใหญ่อยู่ในที่ดินของโจทก์ จึงเป็นกรณีปลูกสร้างโรงเรือนในที่ดินของผู้อื่นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1310, 1311หาใช่เป็นกรณีปลูกสร้างโรงเรือนรุกล้ำตามมาตรา 1312 ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาไม่
ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปว่า จำเลยทั้งสี่ปลูกสร้างโรงเรือนในที่ดินของโจทก์โดยสุจริตหรือไม่ เห็นได้ว่า การที่จำเลยทั้งสี่ปลูกสร้างบ้านลงในที่ดินของโจทก์โดยรู้ว่าไม่มีสิทธิเช่นนี้จึงเป็นการปลูกสร้างโรงเรือนในที่ดินของโจทก์โดยไม่สุจริตตามมาตรา 1311 โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องขอให้จำเลยรื้อถอนบ้านส่วนที่อยู่ในที่ดินของโจทก์ออกไป และจำเลยต้องทำที่ดินให้เป็นตามเดิมแล้วส่งคืนแก่โจทก์โดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย
ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 กระทำโดยสุจริตโดยให้ศาลฟังข้อเท็จจริงตามคดีในส่วนอาญาซึ่งศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาคดีถึงที่สุดแล้ว เห็นว่าการที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ในคดีส่วนอาญานั้นก็เนื่องมาจากฟังว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 ไม่มีเจตนากระทำความผิดอาญา หาใช่การกระทำโดยมีเจตนาสุจริตตามความหมายในส่วนแพ่งไม่
พิพากษายืน

Share