แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยกู้เงินโจทก์โดยมอบรถยนต์ให้โจทก์ยึดไว้เป็นประกันแต่ทำหนังสือการรับเงินค่าขายรถยนต์มอบให้โจทก์เป็นหลักฐานนิติกรรมการซื้อขายรถยนต์จึงเป็นนิติกรรมอำพรางนิติกรรมการกู้เงินและตกเป็นโมฆะ ต้องบังคับตามนิติกรรมการกู้ยืมเงิน ซึ่งเป็นนิติกรรมที่ถูกอำพรางไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา155 วรรคสอง แม้จะต้องถือว่าหนังสือการรับเงินค่าขายรถยนต์ใช้บังคับเป็นหลักฐานการกู้ยืมเงินได้ แต่เมื่อโจทก์ฟ้องว่าจำเลยผิดสัญญาซื้อขายขอเรียกเงินคืน แต่ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่จำเลยต่อสู้ว่าเป็นการกู้ยืมเงินจึงไม่อาจพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ได้ เพราะเป็นเรื่องนอกฟ้องนอกประเด็น ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 วรรคแรก
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยขายรถยนต์คันหมายเลขทะเบียนน-4092 บุรีรัมย์ ให้โจทก์เป็นเงิน 68,000 บาท ต่อมาผู้แทนบริษัทกลการ จำกัด สาขาบุรีรัมย์ มายึดรถคันดังกล่าวไปเนื่องจากจำเลยผิดสัญญาเช่าซื้อ ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 73,100 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี จากต้นเงิน 68,000 บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า ไม่เคยทำสัญญาซื้อขายรถยนต์ตามฟ้องและจำเลยไม่เคยรับเงินจำนวน 68,000 บาท จากโจทก์ แต่รับเงินจำนวน 50,000บาท จากโจทก์ในฐานะผู้กู้เงินมิได้รับในฐานะผู้ขาย ดังนั้น โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกเงินจำนวน 68,000 บาท จากจำเลย และโจทก์ไม่เคยบอกกล่าวให้จำเลยทราบ จำเลยไม่เคยตกเป็นผู้ผิดนัด โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยคืนเงินจำนวน 68,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขอนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ตามที่โจทก์และจำเลยนำสืบตรงกันและไม่โต้เถียงกันในชั้นฎีกาว่า จำเลยนำรถยนต์ตามฟ้องซึ่งจำเลยเช่าซื้อจากบริษัทกลการ จำกัด สาขาบุรีรัมย์ และอยู่ในระหว่างผ่อนชำระค่าเช่าซื้อไปมอบให้โจทก์และรับเงินจำนวนหนึ่งมาจากโจทก์โดยโจทก์และจำเลยทำหนังสือหลักฐานการรับเงินขายรถยนต์ตามเอกสารหมาย จ.1ไว้ ต่อมาบริษัทกลการ จำกัด สาขาบุรีรัมย์ ได้ยึดรถยนต์คันดังกล่าวคืนไปเนื่องจากจำเลยผิดนัดผิดสัญญาเช่าซื้อ โจทก์จึงทวงเงินคืนจากจำเลย สำหรับที่โจทก์ฎีกาพยานหลักฐานจำเลยมีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานโจทก์ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยกู้เงินโจทก์จำนวน 50,000 บาท โดยจำเลยมอบรถยนต์ให้โจทก์ยึดไว้เป็นประกันดังนั้น นิติกรรมการซื้อขายรถยนต์ซึ่งมีหนังสือหลักฐานการรับเงินขายรถยนต์ตามเอกสารหมาย จ.1 จึงเป็นนิติกรรมอำพรางนิติกรรมการกู้เงิน นิติกรรมการซื้อขายจึงเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 118 วรรคแรกเดิม (มาตรา 155 วรรคแรกที่แก้ไขใหม่) และต้องบังคับตามนิติกรรมการกู้ยืมซึ่งเป็นนิติกรรมที่ถูกอำพรางไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา118 วรรคสอง เดิม (มาตรา 155 วรรคสอง ที่แก้ไขใหม่) และแม้ในกรณีเช่นนี้จะมิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อจำเลยเป็นสำคัญต่างหากจากสัญญาซื้อขายก็ตาม ย่อมถือได้ว่า หนังสือหลักฐานการรับเงินขายรถยนต์เอกสารหมาย จ.1 เป็นหลักฐานการกู้ยืมเงินที่ทำกันไว้เป็นลายลักษณ์อักษรระหว่างจำเลยกับโจทก์ จึงมีผลบังคับกันได้ แต่โดยที่คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยผิดสัญญาซื้อขายขอเรียกเงิน จำเลยให้การต่อสู้ว่า ความจริงเป็นเรื่องการกู้ยืมเงินกัน เมื่อข้อเท็จจริงในทางพิจารณาฟังได้ตามที่จำเลยต่อสู้ ย่อมไม่อาจพิพากษาให้จำเลยชำระเงินให้แก่โจทก์ได้ เพราะเป็นเรื่องนอกฟ้องนอกประเด็นต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 วรรคแรกที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน