คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4522/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 สัญญาว่าหากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระหนี้ตามสัญญาจำเลยที่ 1 ยอมโอนที่ดินให้แก่โจทก์เพื่อเป็นการใช้หนี้แทนจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาไม่ชำระหนี้ โจทก์เตือนให้จำเลยที่ 1 โอนที่ดินให้แก่โจทก์แล้ว แต่จำเลยที่ 1 ไม่ยอมโอน กลับนำไปโอนขายให้แก่บุคคลอื่น แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 มีเจตนาจะไม่ให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนโดยรู้อยู่แล้วว่าโจทก์ได้ฟ้องจำเลยที่ 1 ต่อศาลเพื่อให้ชำระหนี้ จำเลยที่ 1จึงมีความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 เมื่อการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดฐานโกงเจ้าหนี้แล้ว การที่โจทก์จะฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นคดีแพ่งโดยขอให้บังคับจำเลยที่ 1 โอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์หรือไม่เป็นสิทธิของโจทก์หาทำให้การกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 ซึ่งกระทำสำเร็จแล้วกลายเป็นผู้ไม่ได้กระทำความผิดไม่ และไม่จำเป็นที่โจทก์จะต้องนำสืบว่านอกจากที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 1 แล้ว จำเลยที่ 1ไม่มีทรัพย์สินอื่นที่จะนำมาชำระหนี้แก่โจทก์ได้กับไม่ต้องคำนึงว่าจำเลยที่ 1 ได้โอนขายที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างโดยเปิดเผยหรือไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ยอมรับว่าจำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์ เพื่อเป็นหลักประกันในการชำระหนี้ จำเลยที่ 1 ได้มอบสำเนาโฉนดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างจำนวน 2 โฉนด ให้โจทก์ยึดถือไว้และสัญญาว่าหากจำเลยที่ 1 ไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด จำเลยที่ 1 จะโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตามโฉนดทั้งสองฉบับดังกล่าวให้โจทก์เป็นการชำระหนี้แทนทันที ต่อมาจำเลยที่ 1 ไม่สามารถชำระหนี้ให้โจทก์ตามที่ตกลงไว้ จำเลยที่ 1โดยทุจริตและเพื่อมิให้โจทก์ได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนได้สมคบกับจำเลยที่ 2 และที่ 3 โอนขายที่ดินทั้งสองโฉนดดังกล่าวให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ทั้ง ๆ ที่จำเลยทั้งสองรู้อยู่แล้วว่าจำเลยที่ 1 เป็นลูกหนี้โจทก์และรู้อยู่แล้วว่าโจทก์จะใช้หรือได้ใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายไม่ได้รับชำระหนี้จากจำเลยที่ 1 ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 และ 83
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาในศาลชั้นต้นอนุญาตให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 จำคุก 1 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาตามที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่าจำเลยที่ 1 สัญญาว่าหากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระหนี้ตามสัญญา จำเลยที่ 1ยอมโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 40582 และ 40611 ให้แก่โจทก์เพื่อเป็นการใช้หนี้แทนทันที เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาไม่ชำระหนี้ตามสัญญา จำเลยที่ 1 จะต้องโอนที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์โจทก์เตือนให้จำเลยที่ 1 โอนที่ดินให้แก่โจทก์แล้ว แต่จำเลยที่ 1ไม่ยอมโอน แต่กลับนำไปโอนขายให้แก่บุคคลอื่นเช่นนี้ย่อมแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 มีเจตนาที่จะไม่ให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของจำเลยที่ 1 ได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนโดยจำเลยที่ 1รู้อยู่แล้วว่าโจทก์ได้ฟ้องจำเลยที่ 1 ต่อศาลเพื่อให้ชำระหนี้จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 350 ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่าไม่มีเจตนาฉ้อโกงโจทก์เพราะจะเห็นได้จากคำเบิกความของนายมงคล ศรีธนาบุตร กรรมการบริษัทโจทก์ซึ่งเบิกความในชั้นไต่สวนมูลฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เคยบอกว่าหากโอนที่ดินสองแปลงที่ได้ให้สัญญาไว้ โจทก์ต้องไถ่ถอนหนี้จากธนาคารกรุงเทพด้วยนั้น ข้อความที่จำเลยที่ 1 อ้างมานี้ไม่ได้มีความหมายว่าโจทก์สละสิทธิการรับโอนที่ดินจากจำเลยที่ 1 ฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่าโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นคดีแพ่งให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้โดยไม่ได้ขอบังคับคดีเอากับที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างเพื่อเป็นการชำระหนี้แทนเท่ากับโจทก์ไม่ประสงค์ที่จะบังคับให้จำเลยที่ 1 ปฏิบัติตามสัญญาเอกสารหมาย จ.4 นั้น เห็นว่า เมื่อจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาไม่ยอมโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ แต่กลับโอนขายให้บุคคลอื่นโดยเจตนาที่จะไม่ให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน เป็นความผิดฐานโกงเจ้าหนี้แล้ว การที่โจทก์จะฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นคดีแพ่งโดยขอให้บังคับจำเลยที่ 1 โอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์หรือไม่นั้นเป็นสิทธิของโจทก์หาทำให้การกระทำความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ของจำเลยที่ 1 ซึ่งได้กระทำสำเร็จแล้วกลายเป็นผู้ไม่ได้กระทำความผิดไม่ และไม่จำเป็นที่โจทก์จะต้องนำสืบว่า นอกจากที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 1แล้ว จำเลยที่ 1 ไม่มีทรัพย์สินอื่นที่จะนำมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์ได้กับไม่ต้องคำนึงถึงว่าจำเลยที่ 1 ได้โอนขายที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างโดยเปิดเผยหรือไม่ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยแต่การที่จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ยอมผ่อนชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความเอกสารหมาย จ.19 โดยได้ผ่อนชำระมาแล้วทั้งหมด 43 งวด ตามที่ปรากฏในฎีกาของจำเลยที่ 1 ซึ่งในคำแก้ฎีกาของโจทก์ก็มิได้โต้แย้งว่าข้ออ้างดังกล่าวไม่เป็นความจริงนั้น เห็นว่าจำเลยที่ 1 ก็ได้พยายามชำระหนี้ให้โจทก์อยู่ตลอดมาเป็นการบรรเทาผลร้ายแห่งการกระทำความผิดของตน เห็นควรลงโทษจำเลยที่ 1 ในสถานเบาเพื่อให้จำเลยที่ 1 มีโอกาสกลับตัวเป็นพลเมืองดีต่อไป และสมควรลงโทษปรับจำเลยที่ 1 อีกสถานหนึ่ง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ปรับจำเลยที่ 1 อีกสถานหนึ่งเป็นเงิน2,000 บาท จำเลยที่ 1 ไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน โทษจำคุกให้รอไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share