คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4356/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์นำเข้าสินค้าเหล็กแผ่นเที่ยวแรกและเที่ยวที่สองเรียกว่าคอมเบิลเพลทส่วนเที่ยวที่สามเรียกว่ารีรอยเลเบิล สต๊อก เพลทเป็นสินค้าที่มีลักษณะแตกต่างกันจึงควรมีราคาไม่เท่ากัน ดังนั้นราคาแท้จริงในท้องตลาดจึงเป็นราคาที่โจทก์ได้สำแดงไว้แต่แรกการที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยกำหนดให้มีราคาเท่ากันจึงมิชอบ การที่โจทก์แก้ราคาสินค้าและจำนวนเงินภาษีอากรในใบขนสินค้ากับใบกำกับสินค้าให้สูงขึ้นตามที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยแจ้งให้โจทก์แก้ แต่โจทก์ได้สงวนสิทธิ์โต้แย้งราคาสินค้าในส่วนที่เพิ่มขึ้นไว้ แสดงว่าโจทก์มิได้แก้ราคาสินค้าและจำนวนเงินภาษีอากรด้วยความสมัครใจ การยอมแก้ดังกล่าวจึงถือได้ว่าเป็นการแก้ตามที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยได้ประเมินแล้ว เมื่อโจทก์มิได้อุทธรณ์คัดค้านต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ในส่วนภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลเสียก่อน จึงไม่มีสิทธินำคดีมาฟ้องต่อศาล

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์นำเข้าเหล็กแผ่นหน้าที่ผ่านการรีดในเบื้องต้น รวม 3 เที่ยว โจทก์ยื่นขอเสียภาษีให้พิกัดประเภทที่ 7204.49 อัตราอากรร้อยละ 2.5 ของราคาสินค้าภาษีการค้าร้อยละ 1.5 ของรายรับและภาษีบำรุงเทศบาลร้อยละ 10 ของภาษีการค้าพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยได้สั่งโดยแจ้งราคาสินค้าที่จำเลยใช้เป็นเกณฑ์ประเมินอากรให้โจทก์เพิ่มราคาสินค้า
โจทก์ได้อุทธรณ์โต้แย้ง จำเลยได้แจ้งผลอุทธรณ์สำหรับสินค้าเที่ยวแรกว่าได้ประเมินชอบแล้ว ส่วนอีก 2 เที่ยว จำเลยได้แจ้งราคาประเมินใหม่เป็นตันละ 237.81 เหรียญสหรัฐอเมริกา ซี.ไอ.เอฟ.(ไม่รวมดอกเบี้ย) มีผลให้โจทก์มีสิทธิได้รับเงินค่าภาษีอากรที่ชำระเกินคืนรวม 17,530 บาท แต่ยังมีเงินที่โจทก์ได้ชำระเพิ่มไว้เกินอยู่อีก คือ อากรขาเข้า 33,100 บาท ภาษีการค้า 21,476 บาทภาษีบำรุงเทศบาล 2,147 บาท รวมเงินค่าภาษีอากรตามใบขนสินค้าทั้งสามฉบับเป็นการชำระเกินทั้งสิ้น 143,105 บาท ในการเพิ่มราคาสินค้าและชำระเงินค่าภาษีอากรดังกล่าวโจทก์ไม่เห็นด้วย โดยได้บันทึกสงวนสิทธิการอุทธรณ์เรียกคืนไว้ที่ด้านหลังใบขนสินค้าทั้งสามฉบับและได้อุทธรณ์การประเมินแต่ไม่ได้ผลตามที่โจทก์อุทธรณ์ ราคาสินค้าที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยถือเป็นเกณฑ์ประเมินมิใช่ราคาอันแท้จริงในท้องตลาด แต่ราคาที่โจทก์สำแดงไว้เป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาด ขอให้พิพากษาว่า การประเมินของพนักงานเจ้าหน้าที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ให้จำเลยคืนเงิน 143,105 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระให้โจทก์เสร็จ
จำเลยให้การว่า การประเมินของพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์มิได้อุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ จึงไม่มีอำนาจฟ้องให้เพิกถอนการประเมินภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาล ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาว่า การประเมินของพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ให้จำเลยคืนเงินค่าอากรขาเข้าจำนวน83,382 บาทแก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ คำขอนอกจากนี้ให้ยก และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 2,000 บาท
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “ปัญหาต่อไปตามอุทธรณ์ของจำเลยและโจทก์มีว่า การประเมินของพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยชอบหรือไม่ และโจทก์มีอำนาจฟ้องเรียกคืนค่าภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลหรือไม่ ในปัญหานี้ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้เป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2531 และวันที่ 25 ธันวาคม2531 โจทก์ได้นำสินค้าเหล็กแผ่นหนาที่ผ่านการรีดในเบื้องต้นจากประเทศสิงคโปร์ซึ่งมีกำเนิดในประเทศออสเตรเลียเข้ามาในประเทศไทยรวม 3 เที่ยวเรือ สินค้าเที่ยวที่ 1 และที่ 2 เป็นแผ่นเหล็กที่เรียกว่า คอบเบิลเพลท โจทก์อ้างว่าซื้อมาในราคาตันละ235 เหรียญสหรัฐอเมริกา ราคา ซี.ไอ.เอฟ.แอนด์.ไอ ทั้งสองเที่ยวสินค้าเที่ยวที่ 3 เป็นเหล็กที่เรียกว่า รีรอลเลเบิล สต๊อก เพลทโจทก์อ้างว่าซื้อมาในราคาตันละ 242 เหรียญสหรัฐอเมริกา ราคาซี.ไอ.เอฟ.แอนด์ ไอ. ราคาสินค้าทั้งสามเที่ยวที่โจทก์อ้างมิใช่ราคาเงินสด แต่มีการบวกดอกเบี้ยเข้าไปในราคาสินค้าแล้ว โจทก์จึงหักดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ตามข้อบังคับของจำเลย แล้วโจทก์ได้สำแดงราคาสินค้าเที่ยวที่ 1 และที่ 2 ตันละ 215.29เหรียญสหรัฐอเมริกา สินค้าเที่ยวที่ 3 โจทก์สำแดงราคาตันละ 220.53เหรียญสหรัฐอเมริกา พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยไม่พอใจราคาสินค้าที่โจทก์สำแดง และได้ให้โจทก์เพิ่มราคาสินค้าทั้งสามเที่ยวเป็นตันละ 244.24 เหรียญสหรัฐอเมริกา โจทก์ยอมเพิ่มราคาสินค้าและชำระอากรขาเข้า ภาษีการค้า และภาษีบำรุงเทศบาลทั้งสามเที่ยวตามที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยแจ้ง โดยโจทก์ได้โต้แย้งสงวนสิทธิการเรียกคืนส่วนที่เพิ่มดังกล่าวไว้ทั้งสามเที่ยว ต่อมาโจทก์ได้อุทธรณ์การให้เพิ่มราคาไปยังจำเลยสำหรับสินค้าทั้งสามเที่ยวจำเลยได้แจ้งผลการอุทธรณ์สำหรับสินค้าเที่ยวแรกว่าราคาที่เพิ่มชอบแล้ว แต่สินค้าเที่ยวที่ 2 และที่ 3 จำเลยได้ประเมินใหม่เป็นราคาตันละ 237.81 เหรียญสหรัฐอเมริกา พร้อมทั้งคืนเงินส่วนที่เกินให้โจทก์ 17,530 บาท โดยโจทก์มิได้อุทธรณ์การประเมินภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลไปยังคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ปัญหามีว่าสินค้าพิพาททั้งสามเที่ยวมีราคาอันแท้จริงในท้องตลาดตามที่โจทก์ได้สำแดงไว้ในตอนแรกหรือไม่ เห็นว่า โจทก์มีนายสงวน ทองไทยกรรมการของโจทก์เป็นพยานเบิกความว่า การสั่งซื้อสินค้าพิพาททั้งสามเที่ยวนี้ เมื่อโจทก์ได้รับใบเสนอราคาจากผู้ขายแล้วโจทก์ได้ไปขอเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตกับธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัดโดยยื่นใบกำกับราคาสินค้าล่วงหน้าชั่วคราวของผู้ขายตามเอกสารหมายจ.1 แผ่นที่ 1 และ 2 เมื่อผู้ขายส่งสินค้าให้โจทก์แล้ว โจทก์ได้ส่งเงินไปให้แก่ผู้ขายตามราคาที่ปรากฏในใบกำกับราคาสินค้าล่วงหน้าดังกล่าว ดังปรากฏตามตั๋วเรียกเก็บเงินเอกสารหมาย จ.1 แผ่นที่ 6,14 และ 23 ซึ่งราคาสินค้าทั้งสามเที่ยวที่โจทก์ส่งไปชำระตรงกับราคาที่ปรากฏในใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้าที่พิพาททั้งสามเที่ยวเรือ เห็นได้ว่าสินค้าพิพาททั้งสามเที่ยวเรือนี้ผู้ขายที่ต่างประเทศเป็นผู้กำหนดราคามาดังใบกำกับราคาสินค้าล่วงหน้าของแต่ละเที่ยวดังกล่าว และโจทก์ในฐานะผู้ซื้อก็ได้ชำระราคาให้แก่ผู้ขายโดยผ่านทางธนาคารพาณิชย์ที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยประเมินราคาเพิ่มขึ้นโดยเทียบตามราคาของสินค้าที่โจทก์เคยนำเข้าจำนวน 2 เที่ยวเรือ เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2531 ดังปรากฏตามใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้ากับใบกำกับสินค้าเอกสารหมาย ล.1 แผ่นที่ 82 และ 83 กับแผ่นที่ 87 และ 88 นั้นศาลฎีกาเห็นว่าสินค้าทั้งสองเที่ยวเรือที่โจทก์นำเข้าตามที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยอ้างนั้น สินค้าเที่ยวแรกตามเอกสารหมาย ล.1แผ่นที่ 82 ปรากฏว่าสินค้าเหล็กแผ่นที่เรียกว่า คอบเบิล เพลทปรากฏในใบกำกับสินค้าเอกสารหมาย ล.1 แผ่นที่ 83 ราคาตันละ230 เหรียญสหรัฐอเมริกา ราคา ซี.ไอ.เอฟ.แอนด์ ไอ. ส่วนสินค้าเที่ยวที่ 2 ตามเอกสารหมาย ล.1 แผ่นที่ 87 เป็นสินค้าเหล็กม้วนที่เรียกว่าคอบเบิล เพลท อิน คอยล์ ปรากฏในใบกำกับสินค้าเอกสารหมาย ล.1 แผ่นที่ 88 ราคาตันละ 255 เหรียญสหรัฐอเมริการาคา ซี.ไอ.เอฟ.แอนด์ ไอ. การนำเข้าของโจทก์ในครั้งนั้น พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยพอใจในราคาสินค้าที่โจทก์สำแดงไว้ในเที่ยวที่ 2แต่ได้ประเมินเพิ่มราคาสินค้าที่โจทก์นำเข้าในเที่ยวแรกเท่ากับราคาที่โจทก์สำแดงไว้ในเที่ยวที่ 2 โดยไม่ปรากฏเหตุผลที่กำหนดให้ราคาของสินค้านั้นทั้งสองเที่ยวนั้นเท่ากัน ทั้งที่เป็นสินค้าต่างชนิดกัน และจำเลยมิได้ถามค้านพยานโจทก์เพื่อให้ปรากฏว่าความจริงสินค้าทั้งสองเที่ยวดังกล่าวมีราคาเท่ากัน อีกทั้งไม่ปรากฏเหตุผลว่าหากราคาสินค้าทั้งสองเที่ยวเท่ากันแล้ว เหตุใดผู้ขายที่ต่างประเทศจึงต้องทำใบกำกับสินค้าให้มีราคาแตกต่างกัน โดยเฉพาะสินค้าพิพาทในเที่ยวแรกและเที่ยวที่ 2 เรียกว่า คอบเบิล เพลทส่วนเที่ยวที่ 3 เรียกว่า รีรอลเลเบิล สต๊อก เพลท เป็นสินค้าที่มีลักษณะแตกต่างกัน จึงควรมีราคาไม่เท่ากัน ที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยกำหนดให้มีราคาเท่ากันจึงไม่ถูกต้อง คดีฟังได้ว่าสินค้าพิพาททั้งสามเที่ยวมีราคาอันแท้จริงในท้องตลาดตามที่โจทก์ได้สำแดงไว้ในตอนแรก การให้เพิ่มราคาสินค้าของพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยจึงมิชอบศาลภาษีอากรกลางพิพากษาในปัญหาข้อนี้ชอบแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยในส่วนนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
ปัญหาสุดท้ายมีว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องเรียกคืนภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลโดยไม่จำต้องอุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์หรือไม่ เห็นว่า ในคดีนี้ข้อเท็จจริงปรากฏว่าเมื่อโจทก์ได้ยื่นใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้า พร้อมกับใบแสดงราคาสินค้าพิพาททั้งสามเที่ยวต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยเพื่อเสียภาษีอากร แต่พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยไม่พอใจราคาสินค้าพิพาทที่โจทก์สำแดงไว้ทั้งสามเที่ยว อ้างว่าต่ำไป จึงให้โจทก์แก้ราคาสินค้า และจำนวนเงินภาษีอากรที่ต้องชำระในใบขนสินค้ากับใบกำกับสินค้าทั้งสามเที่ยวดังกล่าว โจทก์จำต้องเพิ่มราคาสินค้าและจำนวนภาษีอากรตามที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยแจ้ง โดยโจทก์ได้สงวนสิทธิโต้แย้งราคาสินค้าในส่วนที่เพิ่มขึ้นไว้ที่หลังใบขนสินค้าขาเข้าดังกล่าว พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยจึงพอใจราคาสินค้าที่โจทก์ได้เพิ่มขึ้นแล้ว และตรวจปล่อยสินค้าพิพาทออกจากอารักขามอบให้โจทก์ไป ปัญหาจึงมีว่า การที่โจทก์ยอมแก้ราคาสินค้าและจำนวนเงินภาษีอากรในใบขนสินค้าและใบกำกับสินค้าตามที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยแจ้งเป็นการประเมินภาษีอากรของพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยหรือไม่ เห็นว่าแม้การแก้ราคาสินค้าและจำนวนเงินภาษีอากรที่ต้องชำระในใบขนสินค้ากับใบกำกับสินค้าทั้งสามเที่ยวที่พิพาทให้สูงขึ้นจากเดิมจะเป็นการกระทำของโจทก์เองมิใช่เป็นการกระทำของพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยก็ตาม แต่การแก้ดังกล่าวก็เป็นการแก้ตามที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยแจ้งให้โจทก์กระทำ หากโจทก์ไม่แก้ พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยก็คงไม่ตรวจปล่อยสินค้าพิพาทจากอารักขามอบให้โจทก์ไป ทั้งโจทก์ก็ได้สงวนสิทธิโต้แย้งราคาสินค้าในส่วนที่เพิ่มขึ้นไว้ที่หลังใบขนสินค้าขาเข้าดังกล่าว แสดงว่าโจทก์มิได้แก้ราคาสินค้าและจำนวนเงินภาษีอากรด้วยความสมัครใจหรือเห็นด้วยกับความเห็นของพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลย การยอมแก้ดังกล่าวจึงถือได้ว่าเป็นการแก้ตามที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยได้ประเมินแล้ว เมื่อโจทก์ได้ชำระภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลตามการประเมินนั้นแล้วมาอ้างว่าได้ชำระเกินกว่าที่จะต้องเสียตามกฎหมายข้อเรียกร้องให้จำเลยคืนเงินภาษีอากรดังกล่าวให้อันเป็นการโต้แย้งผลการประเมินของพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลย โจทก์จึงต้องอุทธรณ์คัดค้านต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ให้วินิจฉัยเสียก่อนว่าโจทก์เสียภาษีอากรไว้เกินกว่าที่จะต้องเสียตามกฎหมายหรือไม่ เมื่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยและมีคำสั่งแล้วโจทก์จึงจะอุทธรณ์ต่อศาลหรือนำคดีมาฟ้องต่อศาลได้ตามที่ประมวลรัษฎากร มาตรา 30 บัญญัติไว้ แต่โจทก์มิได้ปฏิบัติตามกฎหมายดังกล่าว จึงไม่มีสิทธินำคดีมาฟ้องต่อศาลเกี่ยวกับภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลได้ อุทธรณ์ของโจทก์ในปัญหานี้ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share