คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3773/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ แต่ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยกระทำความผิดฐานรับของโจร ข้อแตกต่างดังกล่าวมิใช่ข้อสาระสำคัญเมื่อจำเลยมิได้หลงต่อสู้ จึงลงโทษจำเลยฐานรับของโจรได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสาม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกที่หลบหนีอีกหนึ่งคนร่วมกันลักเอาโคและลูกโคของผู้เสียหายไปโดยทุจริต ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 334, 335, 83
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 357 วรรคหนึ่ง จำคุก 3 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยฐานรับของโจร โจทก์มิได้อุทธรณ์ฉะนั้นข้อหาลักทรัพย์จึงเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นคงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยเป็นคนร้ายกระทำผิดฐานรับของโจรดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นหรือไม่ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ในวันเกิดเหตุจำเลยกับพวกจูงโคของผู้เสียหายผ่านไปทางบ้านนายชยำซึ่งอยู่ห่างจากที่เกิดเหตุ15 กิโลเมตร โดยพาเดินไปตามริมหนองลัดเลาะไปตามทุ่งนาไม่ได้ไปทางถนนลูกรัง เห็นว่า การที่จำเลยพาโคของผู้เสียหายเดินลัดเลาะไปตามทุ่งนาไม่ได้ไปตามถนน ก็เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้ผู้ใดพบเห็นและมิให้เกิดร่องรอยทางเดินไปตามถนน เป็นพฤติการณ์ที่แสดงว่า จำเลยรู้ว่าโคของกลางเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำผิดฐานลักทรัพย์ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานรับของโจร แม้ข้อเท็จจริงในทางพิจารณาแตกต่างจากข้อเท็จจริงในฟ้องแต่ข้อแตกต่างนั้นมิใช่ข้อสาระสำคัญเมื่อจำเลยมิได้หลงต่อสู้ จึงลงโทษจำเลยฐานรับของโจรได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสาม
พิพากษายืน

Share