แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยที่ 3 เป็นผู้ดำเนินกิจการแทนจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุตรตลอดมาและไม่มีหุ้นอยู่ในห้างหุ้นส่วนจำกัด จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 3ได้รับมอบอำนาจจากจำเลยที่ 1 ให้เป็นผู้มีอำนาจลงชื่อสั่งจ่ายเช็คของจำเลยที่ 1 ในการดำเนินกิจการของจำเลยที่ 1 ได้ การที่จำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 3 ร่วมกันแสดงออกต่อโจทก์และบุคคลทั่วไปว่าได้ร่วมกันประกอบกิจการค้าปุ๋ย ถือว่าจำเลยทั้ง 3 ได้ร่วมกันประกอบกิจการ เมื่อจำเลยที่ 3 ส่งปุ๋ยให้โจทก์ไม่ครบจำนวนตามที่โจทก์สั่งซื้อจำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิด ส่วนจำเลยที่ 1 เป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด มิได้มีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการค้าขายปุ๋ยด้วย แต่การที่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ได้ร่วมประกอบกิจการค้าปุ๋ยกับจำเลยที่ 3แม้จะเป็นกิจการนอกขอบวัตถุประสงค์ของจำเลยที่ 1 ก็ตาม จำเลยที่ 1ก็ได้รับประโยชน์ด้วยโดยการรับเงินค่าปุ๋ยมาจากโจทก์ เมื่อจำเลยที่ 2 และที่ 3 ส่งปุ๋ยให้โจทก์ไม่ครบตามราคาซึ่งจำเลยที่ 1ได้รับไว้ จำเลยที่ 1 จึงไม่พ้นความรับผิดที่จะต้องคืนเงินค่าปุ๋ยที่เหลือให้แก่โจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์สั่งซื้อปุ๋ยจากจำเลยทั้งสาม 2 ครั้งได้ชำระเงินให้เสร็จแล้ว แต่จำเลยทั้งสามส่งปุ๋ยให้ไม่ครบตามสั่งและส่งผิดประเภท เป็นเหตุให้เงินยังเหลืออยู่จำนวน 122,700 บาทโจทก์ติดต่อทวงถามให้จำเลยทั้งสามส่งปุ๋ยแก่โจทก์ครบจำนวนหรือมิฉะนั้นให้คืนเงิน แต่จำเลยทั้งสามเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันใช้เงินคืนแก่โจทก์จำนวน 122,700 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่มีวัตถุประสงค์ในการค้าปุ๋ย และไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ขาดนัดยื่นคำให้การ แต่ต่อมาเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในอีกคดีหนึ่งยื่นคำแถลงต่อศาลชั้นต้นว่า ศาลแพ่งได้มีคำพิพากษาให้จำเลยที่ 3 เป็นบุคคลล้มละลายแล้วตั้งแต่วันที่15 กรกฎาคม 2529 โจทก์จึงขอถอนฟ้องจำเลยที่ 3 ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกันใช้เงินคืนแก่โจทก์จำนวน 122,700 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินจำนวนดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า จำเลยที่ 3 ไม่จัดส่งปุ๋ยให้โจทก์ตามจำนวนและราคาตามคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นและจำเลยที่ 1 ที่ 2 จะต้องรับผิดใช้เงินคืนให้โจทก์ตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า โจทก์มีนายไพศาลหุ้นส่วนผู้จัดการโจทก์มาเบิกความว่า ได้ติดต่อค้าขายกับจำเลยทั้งสามมานานแล้วโดยจำเลยที่ 3 จะแจ้งจำนวนปุ๋ยและราคาที่จะซื้อขายกันให้นายไพศาลทราบก่อน และนายไพศาลก็จะจัดส่งเงินให้จำเลยที่ 3โดยโอนผ่านบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของจำเลยที่ 1 ในครั้งนี้ก็เช่นกันเมื่อจำเลยที่ 3 ได้แจ้งมายังนายไพศาลแล้ว นายไพศาลก็โอนเงินและออกตั๋วแลกเงินเพื่อชำระค่าปุ๋ยให้จำเลยที่ 1 รับไปแล้วตามเอกสารหมาย จ.3 และ จ.4 แต่จำเลยที่ 3 ส่งปุ๋ยให้โจทก์ขาดจำนวนไม่ครบตามที่ตกลงซื้อขายกันโดยปุ๋ยสูตร 16-20-0 และสูตร 15-15-15ขาดจำนวนรวม 24 ตัน เป็นเงิน 122,700 บาท ที่จำเลยที่ 1 ที่ 2อ้างว่าจำเลยที่ 3 ได้ส่งปุ๋ยให้โจทก์ครบถ้วนแล้วก็โดยอาศัยเอกสารหมาย ล.1 และ ล.4 ประกอบคำเบิกความของจำเลยที่ 3 และนายประกิจ พัวพรสวรรค์ พยานจำเลย แต่เมื่อได้ตรวจพิเคราะห์คำเบิกความและเอกสารดังกล่าวซึ่งเป็นพยานหลักฐานฝ่ายจำเลยแล้วเห็นว่า จำเลยที่ 3 เบิกความว่าเมื่อได้จัดซื้อปุ๋ยจากกลุ่มเกษตรกรได้เรียบร้อยแล้วก็ให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดเฮงขนส่ง ซึ่งมีนายประกิจเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการจัดส่งให้โจทก์ซึ่งนายประกิจก็ส่งให้โจทก์แล้วเป็นจำนวน 79 ตัน มากกว่าจำนวนที่โจทก์สั่งซื้อเสียอีก แต่นายประกิจกลับเบิกความสับสนเอาแน่นอนไม่ได้ว่าปุ๋ยจำนวนไหนรับจากที่ใดและส่งให้โจทก์เมื่อไร ในเมื่อการส่งปุ๋ยให้โจทก์ตามที่มีปรากฏในเอกสารหมาย ล.4 นั้น นอกจากปุ๋ยที่รับจากจำเลยที่ 3 ไปส่งให้โจทก์แล้ว ยังมีปุ๋ยซึ่งรับจากร้านค้าอื่นและรับจากโจทก์อันเป็นปุ๋ยของโจทก์เองไปส่งให้โจทก์อีกด้วยเอกสารหมาย ล.4 เป็นบันทึกส่วนตัวที่นายประกิจทำขึ้นเองซึ่งมีผู้บันทึกหลายคนทั้งไม่มีระบุถึงต้นทางที่รับปุ๋ยไปส่งด้วยนายประกิจเองก็จำไม่ได้ การส่งให้โจทก์บางครั้งก็ไม่มีใบกำกับสินค้าเช่นสำเนาเอกสารหมาย ล.1 ซึ่งสำหรับเอกสารหมาย ล.1 มิได้เป็นต้นฉบับและไม่มีเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องรับรองความถูกต้องต้นฉบับจะมีจริงหรือไม่ก็ไม่ปรากฏ จำเลยอาจขอคำสั่งศาลให้เรียกต้นฉบับมาได้ในชั้นพิจารณาของศาลชั้นต้นก็ไม่กระทำ โจทก์ก็ปฏิเสธกรณีจึงไม่อาจรับฟังเป็นพยานเอกสารได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93 จำเลยที่ 1 ที่ 2 นำสืบฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3ได้ส่งปุ๋ยให้โจทก์ครบถ้วนตามราคาค่าปุ๋ยซึ่งโจทก์ได้ชำระราคาไว้ที่จำเลยที่ 1 แล้ว คดีจึงฟังว่าจำนวนปุ๋ยราคา 122,700 บาทจำเลยที่ 3 ยังมิได้ส่งให้โจทก์ ปัญหาที่ว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2จะต้องร่วมรับผิดคืนเงินราคาปุ๋ยจำนวนดังกล่าวให้โจทก์หรือไม่นั้นเห็นว่า สำหรับจำเลยที่ 2 คดีปรากฏว่าเมื่อจดทะเบียนก่อตั้งห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ 1 นั้น จำเลยที่ 3 เป็นผู้ดำเนินการแทนจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุตรจำเลยที่ 3 ตลอดมา แม้ในระยะแรกที่จำเลยที่ 2 เป็นนักศึกษาอยู่มหาวิทยาลัยกรุงเทพ โดยพักอาศัยอยู่ยังที่ทำการสำนักงานจำเลยที่ 1 เอง หรือในระยะหลังเมื่อจำเลยที่ 2 จบการศึกษาแล้วก็ตาม โดยเป็นผู้มีอำนาจลงชื่อสั่งจ่ายเช็คของจำเลยที่ 1 ในการดำเนินกิจการของจำเลยที่ 1 ได้ตามเอกสารหมาย จ.11 อันเป็นที่เห็นได้ว่าจำเลยที่ 2 กับที่ 3 ร่วมกันแสดงออกต่อโจทก์และบุคคลทั่วไปว่าได้ร่วมกันประกอบกิจการค้าปุ๋ยจึงแสดงว่าจำเลยทั้งสามได้ร่วมกันประกอบกิจการ เมื่อจำเลยที่ 3ส่งปุ๋ยให้โจทก์ไม่ครบจำนวนตามที่โจทก์สั่งซื้อ จำเลยที่ 2จึงต้องรับผิดด้วย ส่วนจำเลยที่ 1 จะต้องร่วมรับผิดด้วยหรือไม่นั้นโดยที่จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลและมีวัตถุประสงค์ตามที่ได้จดทะเบียนไว้ตามเอกสารหมาย จ.2 (ล.3) ว่า ทำการขนส่งทางบกสั่งสินค้าเข้าส่งสินค้าออก เป็นนายหน้าตัวแทนและตัวแทนค้าต่าง มิได้มีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการค้าขายปุ๋ยด้วย แต่การที่จำเลยที่ 2ได้ร่วมประกอบกิจการค้าปุ๋ยกับจำเลยที่ 3 ดังข้อวินิจฉัยข้างต้นแม้จะเป็นกิจการนอกขอบวัตถุประสงค์ของจำเลยที่ 1 แต่จำเลยที่ 1ก็ได้รับประโยชน์ด้วยโดยการรับเงินค่าปุ๋ยมาจากโจทก์ เมื่อจำเลยที่ 2 ที่ 3 ส่งปุ๋ยให้โจทก์ไม่ครบตามราคาซึ่งจำเลยที่ 1 ได้รับไว้จำเลยที่ 1 จึงไม่พ้นความรับผิดที่จะต้องคืนเงินค่าปุ๋ยที่เหลือให้โจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 3 ส่งปุ๋ยครบถ้วนแล้วและพิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น