แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 140(3) บัญญัติว่าการอ่านคำพิพากษาหรือคำสั่ง ให้อ่านข้อความทั้งหมดในศาลโดยเปิดเผยตามเวลาที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายนี้ต่อหน้าคู่ความทั้งสองฝ่ายหรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง บทกฎหมายดังกล่าวบัญญัติเพียงว่าให้อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งต่อหน้าคู่ความทั้งสองฝ่ายหรือฝ่ายหนึ่งโดยมิได้บังคับว่าต้องอ่านต่อหน้าคู่ความทุกฝ่ายเสมอไป การที่ศาลชั้นต้นงดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้คู่ความทุกฝ่ายฟังเพราะไม่มีคู่ความมาศาล โดยปรากฏตามรายงานการเดินหมายว่ามีการปิดหมายให้จำเลยทั้งห้าไว้แล้ว จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาตามกฎหมายแล้ว ข้อเท็จจริงปรากฏภายหลังว่า การส่งหมายโดยวิธีปิดหมายดังกล่าวไม่ชอบเพราะเป็นการปิดหมาย ณ ภูมิลำเนาของทนายจำเลยที่ 1 และที่ 2 ซึ่งได้ย้ายไปก่อนปิดหมายแล้ว ก็ไม่ทำให้การอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เสียไป ที่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้เฉพาะทนายจำเลยที่ 1 และที่ 2 ฟังใหม่ จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยชอบ ไม่จำต้องอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้โจทก์ฟังอีกเพราะถือว่าได้อ่านตามกฎหมายแล้ว
ย่อยาว
กรณีสืบเนื่องมาจากจำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เฉพาะส่วนของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ศาลชั้นต้นตรวจสำนวนแล้วปรากฏตามรายงานการเดินหมายฉบับลงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2533 และ วันที่ 4 เมษายน 2533 ว่าเจ้าพนักงานนำหมายไปส่งให้แก่นายทวีศักดิ์ หงส์ทอง ทนายจำเลยที่ 1 และที่ 2 แล้วไม่พบ พบหญิงอายุประมาณ 45 ปี แจ้งว่านายทวีศักดิ์ย้ายไปแล้ว จึงได้ปิดหมายไว้ ดังนั้นการส่งหมายดังกล่าวจึงไม่ชอบ จำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงยังไม่ทราบวันนัดและถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ทราบคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้วตั้งแต่วันที่ 27 เมษายน 2533 เมื่อจำเลยที่ 1 ทนายจำเลยที่ 1และที่ 2 มาศาลในวันนัดไต่สวนคำร้องของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในวันที่ 13 พฤศจิกายน 2533 ศาลชั้นต้นจึงอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฟังในวันดังกล่าว
โจทก์อุทธรณ์ว่า ที่ศาลชั้นต้นงดการอ่านคำพิพากษาอุทธรณ์และให้ถือว่าคำพิพากษาได้อ่านตามกฎหมายแล้วเมื่อวันที่ 27 เมษายน2533 โดยที่ไม่มีคู่ความมาศาล เพราะจำเลยทั้งห้ายังไม่ทราบวันนัดฟังคำพิพากษาโดยชอบ เนื่องจากทนายจำเลยทั้งห้าย้ายภูมิลำเนานั้นเป็นการไม่ชอบและไม่มีผลผูกพันคู่ความในคดีนี้แต่ประการใด และการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฟังใหม่ในวันที่ 13 พฤศจิกายน 2533 เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาไม่ชอบ
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่าการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฟังใหม่นั้นชอบด้วยกระบวนพิจารณาหรือไม่ โจทก์ฎีกาว่า ศาลชั้นต้นชอบที่จะอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้โจทก์และจำเลยทั้งห้าฟังใหม่ เนื่องจากเจ้าพนักงานส่งหมายนัดให้แก่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ไม่ได้ เพราะทนายจำเลยทั้งห้าย้ายภูมิลำเนาไปแล้ว การที่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ให้เฉพาะจำเลยที่ 1 และที่ 2 ฟังใหม่จึงไม่ชอบ เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 140(3)บัญญัติว่า “การอ่านคำพิพากษาหรือคำสั่ง ให้อ่านข้อความทั้งหมดในศาลโดยเปิดเผยตามเวลาที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายนี้ ต่อหน้าคู่ความทั้งสองฝ่ายหรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง…” บทกฎหมายดังกล่าวบัญญัติเพียงว่าให้อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งต่อหน้าคู่ความทั้งสองฝ่ายหรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโดยมิได้บังคับว่าต้องอ่านต่อหน้าคู่ความทุกฝ่ายเสมอไป ที่ศาลชั้นต้นมิได้ดำเนินกระบวนพิจารณาถึงจำเลยที่ 3ถึงที่ 5 โดยอ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ให้จำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 ฟังด้วยนั้นก็เพราะจำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 มิได้ยื่นคำร้องขอเข้ามา จึงไม่มีประเด็นที่ศาลชั้นต้นจะวินิจฉัยสั่ง ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้เฉพาะจำเลยที่ 1 และที่ 2 ฟังใหม่นั้นชอบแล้ว และที่โจทก์ฎีกาว่า ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าคดีนี้โจทก์ได้ทราบคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยชอบแล้วตั้งแต่วันที่27 เมษายน 2533 ส่วนจำเลยที่ 1 และที่ 2 ยังไม่ทราบโดยชอบ จึงอ่านให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฟังใหม่ได้และไม่ทำให้คู่ความอื่นที่ถือว่าได้ฟังคำพิพากษาโดยชอบแล้วเสียไปด้วยนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมายศาลชั้นต้นต้องอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้คู่ความทุกฝ่ายฟังใหม่ด้วยนั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงปรากฏตามอุทธรณ์ของโจทก์และรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นลงวันที่ 13 พฤศจิกายน 2533 ว่าที่ศาลชั้นต้นสั่งงดการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้คู่ความทุกฝ่ายฟังเพราะไม่มีคู่ความมาศาลเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2533 โดยปรากฏตามรายงานการเดินหมายฉบับลงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2533 และวันที่ 4เมษายน 2533 ว่ามีการปิดหมายให้จำเลยทั้งห้าไว้แล้ว จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาตามกฎหมายแล้ว ข้อเท็จจริงเพิ่งปรากฏภายหลังเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2533 ว่า การส่งหมายโดยวิธีปิดหมายดังกล่าวยังไม่ชอบเพราะเป็นการปิดหมาย ณ ภูมิลำเนาของทนายจำเลยที่ 1 และที่ 2 ซึ่งได้ย้ายไปก่อนปิดหมายแล้วก็ไม่ทำให้การอ่านคำพิพากษาโดยชอบเสียไป และที่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้เฉพาะทนายจำเลยที่ 1 และที่ 2 ฟังใหม่ จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยชอบ ไม่จำต้องอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้โจทก์ฟังอีกเพราะถือว่าคำพิพากษาได้อ่านตามกฎหมายแล้วตั้งแต่เมื่อวันที่ 27เมษายน 2533 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน