คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3233/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีก่อนโจทก์ขับไล่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้ออกจากที่ดินพิพาทส่วนจำเลยที่ 3 เป็นบริวารของจำเลยที่ 1 และที่ 2 โจทก์กับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีดังกล่าวโดยโจทก์ยอมยกที่ดินเนื้อที่ 91 ตารางวา ให้แก่จำเลยที่ 1 และที่ 2ส่วนจำเลยที่ 1 และที่ 2 ยอมจะรื้อเรือนและร้านค้าออกจากที่ดินพิพาทของโจทก์ภายใน 1 ปี 6 เดือน นับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความถ้าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ทำการรื้อถอนภายในกำหนด จำเลยที่ 1และที่ 2 จะต้องคืนที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ และศาลได้พิพากษาตามยอมแล้ว ดังนี้ คำพิพากษาตามยอมในคดีก่อนย่อมผูกพันโจทก์จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ซึ่งเป็นบริวาร นับแต่วันที่ศาลได้มีคำพิพากษาตามยอม เมื่อจำเลยที่ 1 และที่ 2 ผิดสัญญาประนีประนอมยอมความโดยไม่ยอมรื้อเรือนและร้านค้าออกจากที่ดินพิพาทโจทก์ชอบที่จะดำเนินการบังคับคดีเอาแก่จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3ซึ่งเป็นบริวารในคดีก่อน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสามเป็นคดีนี้ ดังนั้น ปัญหาที่โจทก์ฎีกาว่า ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อนหรือไม่ จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรที่จะได้รับการวินิจฉัย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าของที่ดินตามโฉนดเลขที่ 732ตำบลเสดียง อำเภอเมืองเพชรบูรณ์ จังหวัดเพชรบูรณ์ จำเลยที่ 1ได้ขออาศัยปลูกเรือนเลขที่ 79 และร้านค้าเลขที่ 81 ในที่ดินของโจทก์เมื่อปี 2528 โจทก์ได้ยื่นฟ้องขับไล่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ส่วนจำเลยที่ 3 ไม่ได้ฟ้องโดยถือว่าเป็นบริวารของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ต่อมาวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2529 โจทก์กับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 23/2529 ของศาลชั้นต้นโดยโจทก์ยอมยกที่ดินเนื้อที่ 91 ตารางวา ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2ส่วนจำเลยที่ 1 และที่ 2 ยอมรื้อเรือนและร้านค้าดังกล่าวออกจากที่ดินของโจทก์ แต่เมื่อครบกำหนดตามสัญญาประนีประนอมยอมความจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่รื้อเรือนและร้านค้าออกจากที่ดินของโจทก์ขอให้บังคับจำเลยชำระค่าเสียหายจำนวน 101,000 บาท และค่าเสียหายอีกวันละ 1,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนถึงวันจำเลยรื้อถอนออกพร้อมทั้งดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสามให้การว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ได้เป็นเจ้าของเรือนและร้านค้า ขณะตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความจำเลยที่ 1และที่ 2 เข้าใจว่าอาจเจรจาให้จำเลยที่ 2 รื้อถอนออกไปได้เดิมที่ดินพิพาทเป็นของนายจ่อง ขาวสอาด จำเลยที่ 3 สมรสกับนางสาวบุษบา เพชรมี หลานของนายจ่อง นายจ่องจึงยกที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 3 ครอบครองโดยสงบ เปิดเผย และด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเกินกว่า 10 ปี และได้สร้างร้านค้าขึ้น 2 หลัง โจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย ถ้าเสียหายไม่เกินวันละ 10 บาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ฎีกาว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้นั้น ข้อเท็จจริงได้ความว่า คดีก่อนโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้ออกจากที่ดินพิพาท ส่วนจำเลยที่ 3 เป็นบริวารของจำเลยที่ 1และที่ 2 โจทก์กับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีดังกล่าว โดยโจทก์ยอมยกที่ดินเนื้อที่ 91 ตารางวา ให้แก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ส่วนจำเลยที่ 1 และที่ 2 ยอมจะรื้อเรือนเลขที่79 และร้านค้าออกจากที่ดินพิพาทของโจทก์ภายใน 1 ปี 6 เดือน นับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความ ถ้าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ทำการรื้อถอนในกำหนด จำเลยที่ 1 และที่ 2 จะต้องคืนที่ดินส่วนที่โจทก์ยกให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ดังกล่าวให้แก่โจทก์ และศาลได้พิพากษาตามยอมแล้วดังนี้ คำพิพากษาตามยอมในคดีก่อนย่อมผูกพันโจทก์จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ซึ่งเป็นบริวาร นับแต่วันที่ศาลได้มีคำพิพากษาตามยอม เมื่อจำเลยที่ 1 และที่ 2 ผิดสัญญาประนีประนอมยอมความโดยไม่ยอมรื้อเรือนและร้านค้าออกจากที่ดินพิพาทโจทก์ชอบที่จะดำเนินการบังคับคดีเอาแก่จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3ซึ่งเป็นบริวารในคดีก่อน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสามเป็นคดีนี้ ดังนั้น ปัญหาที่โจทก์ฎีกาว่าฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อนหรือไม่ จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรที่จะได้รับการวินิจฉัย
พิพากษายืน

Share