คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2497/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ทรัพย์ที่แลกเปลี่ยนกันเป็นที่ดินเป็นอสังหาริมทรัพย์ และทำสัญญากันโดยที่ยังมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ แต่โจทก์ซึ่งเป็นคู่สัญญาแลกเปลี่ยนกับจำเลย ได้ส่งมอบที่ดินในส่วนที่ตกลงแลกเปลี่ยนให้แก่จำเลยแล้ว สัญญาแลกเปลี่ยนดังกล่าวจึงบังคับได้เช่นเดียวกับสัญญาจะขายหรือจะซื้ออสังหาริมทรัพย์เพราะได้มีการชำระหนี้ตามสัญญากันบางส่วนแล้ว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 วรรคสอง โจทก์นำมาฟ้องบังคับได้ไม่เป็นโมฆะ หลังจากโฉนดที่ดินพิพาทได้ออกแล้ว โจทก์ได้ติดต่อให้จำเลยโอนที่ดินให้ และจำเลยก็ได้ไปยังสำนักงานที่ดินเมื่อเดือนมิถุนายนและตุลาคม 2522 เป็นการแสดงให้เห็นว่าจำเลยยอมรับสภาพตามสิทธิเรียกร้องของโจทก์ ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 172 เดิม ที่จำเลยฎีกาว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า โจทก์ขาดสิทธิครอบครองแล้วนั้น จำเลยมิได้ยกความข้อนี้ขึ้นต่อสู้ไว้ในศาลชั้นต้น จึงมิใช่เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ เมื่อฟังว่าสัญญาแลกเปลี่ยนไม่เป็นโมฆะ ใช้บังคับได้ การที่จะวินิจฉัยต่อไปว่า สัญญาแลกเปลี่ยนเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความหรือไม่ ตามฎีกาของจำเลยย่อมไม่เป็นประโยชน์แก่คดี เพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป ถือเป็นข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดี

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินสองแปลงซึ่งอยู่ติดต่อเป็นผืนเดียวกัน เป็นที่ดิน น.ส.3 โจทก์กับจำเลยได้ตกลงแลกเปลี่ยนที่ดินกัน โดยจำเลยยอมยกที่ดินส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ 15981และ 15982 ให้แก่โจทก์และโจทก์ยอมยกที่ดินส่วนหนึ่งให้เป็นถนนทางสาธารณะเพื่อประโยชน์ของจำเลย โจทก์ได้ยกที่ดินส่วนของโจทก์ให้แก่จำเลยไปแล้วตามข้อตกลง ส่วนที่ดินของจำเลยนั้นจำเลยยังไม่ได้โอนให้แก่โจทก์ โจทก์ทวงถามแล้วจำเลยก็ไม่ดำเนินการให้ ขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่โจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย และถ้าไม่สามารถจดทะเบียนโอนให้ได้ก็ให้จำเลยชำระเงินค่าที่ดินให้แก่โจทก์ จำนวน 200,000 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ7.5 ต่อปีของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า จำเลยได้ตกลงแลกเปลี่ยนที่พิพาทกับโจทก์จริง แต่จำเลยได้ซื้อที่พิพาทคืนจากโจทก์แล้วจำเลยไม่เคยรับสภาพหนี้ใด ๆ กับโจทก์และไม่เคยไปติดต่อกับเจ้าพนักงานที่ดินเพื่อโอนที่ดินให้แก่โจทก์ คดีโจทก์ขาดอายุความและเป็นฟ้องซ้ำเพราะก่อนนี้นายพิณ รักษา ผู้รับมอบอำนาจโจทก์เคยฟ้องจำเลยต่อศาลชั้นต้นในมูลหนี้เดียวกันนี้ ศาลพิพากษายกฟ้องคดีถึงที่สุดแล้ว ตามสำนวนคดีหมายเลขแดงที่ 289/2531 สัญญาแลกเปลี่ยนที่ดินตามที่โจทก์ฟ้องก็ไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ ขอให้ศาลยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่พิพาทตามแผนที่พิพาท ซึ่งเป็นที่ดินตามโฉนดเลขที่ 15981 และ 15982ตำบลสะเตง อำเภอเมืองยะลา จังหวัดยะลา ให้แก่โจทก์ ถ้าจำเลยไม่จดทะเบียนโอนให้ก็ให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลย หรือถ้าไม่สามารถจดทะเบียนโอนให้ได้ ก็ให้จำเลยชำระเงินค่าที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ จำนวน 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การแลกเปลี่ยนมีบทบัญญัติของกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 519 ว่าบทบัญญัติทั้งหลายในลักษณะซื้อขายนั้นให้ใช้ถึงการแลกเปลี่ยนด้วย ดังนี้เมื่อทรัพย์ที่แลกเปลี่ยนกันเป็นที่ดินอันเป็นอสังหาริมทรัพย์และทำสัญญากันโดยที่ยังมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แต่คดีปรากฏว่าโจทก์ซึ่งเป็นคู่สัญญาแลกเปลี่ยนกับจำเลยได้ส่งมอบที่ดินในส่วนที่ตกลงแลกเปลี่ยนให้แก่จำเลยแล้ว สัญญาแลกเปลี่ยนดังกล่าวจึงบังคับได้เช่นเดียวกับสัญญาจะขายหรือจะซื้ออสังหาริมทรัพย์ เพราะได้มีการชำระหนี้ตามสัญญากันบางส่วนแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 วรรคสอง โจทก์นำมาฟ้องบังคับได้ไม่โมฆะ คดีโจทก์ได้ความจากนายพิน รักษา ผู้รับมอบอำนาจโจทก์เบิกความฟังสอดคล้องกับคำเบิกความของนายเวียงวิทย์ ศรีชมภูมิและนายจรูญ กระจายวงศ์ ซึ่งเป็นหัวหน้าฝ่ายนิติกรรมและสัญญาและเจ้าหน้าที่รับคำขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมประจำสำนักงานที่ดินจังหวัดยะลาในขณะเกิดเหตุพยานโจทก์ว่าจำเลยกับนายพินซึ่งเป็นผู้แทนโจทก์ในการรับโอนที่ดินพิพาทจากจำเลยเคยไปติดต่อขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินกับนายเวียงวิทย์และนายจรูญที่สำนักงานที่ดินดังกล่าวเมื่อประมาณเดือนมิถุนายนและตุลาคม 2522 ที่จำเลยเบิกความว่าทำสัญญาแลกเปลี่ยนกับโจทก์โดยโจทก์ตกลงจะให้จำเลยซื้อที่ดินแปลงของจำเลยคืนจากโจทก์และหลังจากทำสัญญาและรังวัดแบ่งแยกโฉนดที่ดินแล้วประมาณ 1 เดือนจำเลยก็ได้ซื้อคืนจากโจทก์ในราคา 25,000 บาท นั้น จึงไม่อาจรับฟังได้ ที่ดินจำเลยยังมิได้ส่งมอบในส่วนที่แลกเปลี่ยนให้แก่โจทก์ต่อมาก็ได้มีการรังวัดเพื่อแบ่งแยกออกโฉนดเป็น 8 แปลง ที่ดินพิพาทเป็นแปลงตามเอกสารหมาย จ.7 และ จ.8 ซึ่งในวันรังวัดนั้นได้ความจากคำเบิกความของนายแวหะมะพยานจำเลยว่าโจทก์ก็ไปด้วยและโฉนดที่ดินของจำเลยรวมทั้งโฉนดที่ดินพิพาทเพิ่งจะออกเมื่อเดือนมกราคม 2522 มิใช่ 1 เดือนหลังจากทำสัญญาแลกเปลี่ยนดังที่จำเลยเบิกความ การที่จำเลยนำสืบว่าโจทก์ตกลงให้จำเลยซื้อที่ดินคืนหรือโจทก์จะเอาเงินแทนที่ดินที่แลกเปลี่ยนโดยไม่ได้ความว่าในส่วนที่ดิน ซึ่งจำเลยรับมอบไปจากโจทก์แล้วนั้นจะคิดกันอย่างไรในเมื่อตกลงแลกเปลี่ยนที่ดินกันนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ ข้อที่จำเลยนำสืบมาไม่มีน้ำหนักพอให้เชื่อถือได้ หลังจากโฉนดที่ดินพิพาทได้ออกแล้ว โจทก์ก็ได้ติดต่อกับจำเลยให้โอนที่ดินให้นายพินซึ่งก็ได้มีการนัดหมายกันและจำเลยก็ได้ไปยังสำนักงานที่ดินตามคำเบิกความของพยานโจทก์ข้างต้นซึ่งเป็นการกระทำเมื่อเดือนมิถุนายนและตุลาคม 2522 เป็นการแสดงให้เห็นว่าจำเลยยอมรับสภาพตามสิทธิเรียกร้องของโจทก์อันทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 172 เดิมแล้ว ซึ่งเมื่อนับถึงวันฟ้องยังไม่เกิน 10 ปี และโจทก์มิได้เป็นคู่ความในคดีหมายเลขแดงที่ 289/2531 ของศาลชั้นต้น ฟ้องโจทก์จึงไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 ส่วนฎีกาของจำเลยในปัญหาที่ว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่าโจทก์ขาดสิทธิครอบครองแล้วนั้น จำเลยมิได้ยกความข้อนี้ขึ้นต่อสู้ไว้ในศาลชั้นต้น จึงมิใช่เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ และที่จำเลยฎีกาว่าสัญญาแลกเปลี่ยนมิได้เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น เห็นว่าเมื่อฟังว่าสัญญาแลกเปลี่ยนไม่เป็นโมฆะใช้บังคับได้ตามกฎหมายแล้ว การที่จะวินิจฉัยต่อไปว่าสัญญาแลกเปลี่ยนเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความหรือไม่ ย่อมไม่มีประโยชน์แก่คดีเพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป ถือเป็นข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดี ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3วินิจฉัยว่าโจทก์มีอำนาจฟ้อง คดีไม่ขาดอายุความและพิพากษายืนให้จำเลยรับผิดตามศาลชั้นต้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
พิพากษายืน

Share