คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2397/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

น. ผู้เอาประกันชีวิตกับจำเลยในขณะทำสัญญาประกันชีวิตมีสุขภาพไม่สมบูรณ์โดยป่วยเป็นโรคเบาหวานและโรคตับแข็ง และละเว้นไม่เปิดเผยข้อความจริงให้จำเลยทราบ ซึ่งหากจำเลยทราบจะบอกปัดไม่ตกลงทำสัญญาประกันชีวิตกับ น.การปกปิดข้อเท็จจริงดังกล่าวทำให้จำเลยสำคัญผิดในข้อเท็จจริง สัญญาประกันชีวิตระหว่างจำเลยกับ น.จึงตกเป็นโมฆียะ เมื่อจำเลยได้บอกล้างสัญญาแล้ว จึงไม่ต้องรับผิดตามสัญญาต่อโจทก์ ผู้เอาประกันภัยมีหน้าที่ต้องเปิดเผยข้อความจริงให้ผู้รับประกันภัยทราบจะถือว่าการไม่ตรวจสุขภาพของผู้เอาประกันภัยก่อนเป็นการละเว้นหาได้ไม่ แม้การประกันชีวิตในทุนประกันต่ำตามหลักเกณฑ์ที่กระทรวงพาณิชย์กำหนดไม่จำเป็นต้องตรวจสุขภาพผู้เอาประกันภัยก็ยังถือไม่ได้ว่าผู้รับประกันภัยไม่ถือเอาเรื่องสุขภาพของผู้เอาประกันภัยเป็นสำคัญ สัญญาประกันชีวิตที่กระทำโดยฝ่าฝืนบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 865 วรรคแรก เป็นโมฆียะผู้รับประกันภัยย่อมใช้สิทธิบอกล้างได้ หากไม่ใช้สิทธิบอกล้างสัญญาดังกล่าวย่อมใช้บังคับได้ จึงเป็นสิทธิของผู้รับประกันภัยจะบอกล้างหรือไม่ก็ได้ ดังนั้น แม้ผู้รับประกันภัยจะใช้สิทธิบอกล้างแต่เพียงเฉพาะสัญญารายใดก็หาเป็นการไม่ชอบไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยรับประกันชีวิตแบบออมทรัพย์สงเคราะห์จากนางเน้ย มารดาโจทก์ โดยโจทก์เป็นผู้รับประโยชน์ จำนวนเงิน47,850 บาท ต่อมานางเน้ยได้ถึงแก่กรรม โจทก์ได้ขอรับประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันชีวิตจากจำเลย จำเลยกลับมีหนังสือบอกล้างสัญญาประกันชีวิตดังกล่าวแก่โจทก์ ทำให้โจทก์เสียหายขอให้จำเลยชำระเงินจำนวน 47,850 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า ในขณะทำสัญญาประกันชีวิตนางเน้ยมีสุขภาพไม่สมบูรณ์โดยป่วยเป็นโรคเบาหวานและโรคม้ามโต ได้ละเว้นไม่เปิดเผยข้อความจริงให้จำเลยทราบ ซึ่งเป็นสาระสำคัญของสัญญา หากจำเลยทราบข้อเท็จจริงดังกล่าว จำเลยจะบอกปัดไม่ตกลงทำสัญญาประกันชีวิตกับนางเน้ย ดังนั้น สัญญาประกันชีวิตระหว่างจำเลยกับนางเน้ยจึงตกเป็นโมฆียะ ทั้งจำเลยได้บอกล้างสัญญาแล้วด้วยขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 47,850 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาที่ศาลฎีกาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ข้อแรกว่า นางเน้ยผู้เอาประกันภัยทราบรายละเอียดเงื่อนไขเกี่ยวกับสุขภาพที่จะต้องแถลงให้จำเลยทราบหรือไม่ จำเลยมีนางสาวศศิธรตัวแทนหาประกันชีวิตของจำเลยเบิกความประกอบคำขอเอาประกันภัยตามเอกสารหมาย ล.1 ว่าตอนพยานชักชวนให้นางเน้ยเอาประกันชีวิตได้กระทำต่อหน้าโจทก์และพยานได้บอกหลักการเอาประกันชีวิตว่า ผู้เอาประกันภัยจะต้องมีสุขภาพสมบูรณ์ หากสุขภาพไม่ดีจะปกปิดไม่ได้จะต้องบอกความจริง นางเน้ยก็บอกว่าตนเองมีสุขภาพสมบูรณ์ในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมาไม่เคยเข้าโรงพยาบาลเลยพยานจึงกรอกข้อความลงในเอกสารหมาย ล.1 แล้วให้นางเน้ยพิมพ์ลายนิ้วมือซึ่งโจทก์ได้เป็นผู้ชำระเบี้ยประกันภัยในวันนั้นด้วยสำหรับโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานมานำสืบหักล้างว่า นางสาวศศิธรมิได้สอบปากคำนางเน้ยดังกล่าวจึงต้องฟังข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสุขภาพของนางเน้ยเป็นไปตามที่ระบุไว้ในคำขอประกันภัยเอกสารหมาย ล.1 และน่าเชื่อว่าผู้เอาประกันภัยได้ทราบรายละเอียดเงื่อนไขเกี่ยวกับสุขภาพแล้ว แต่ปกปิดไม่เปิดเผยข้อความจริงเกี่ยวกับสุขภาพของตนให้ผู้รับประกันภัยทราบ โจทก์ฎีกาข้อต่อมาว่า การประกันชีวิตรายพิพาทเป็นการประกันในทุนประกันต่ำ จำเลยจึงละเลยไม่ตรวจสุขภาพของผู้เอาประกันภัยก่อน เท่ากับจำเลยไม่ถือเรื่องสุขภาพของผู้เอาประกันภัยเป็นสำคัญนั้น เห็นว่า ในสัญญาประกันชีวิตการใช้จำนวนเงินย่อมอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของบุคคลคนหนึ่งเป็นสำคัญและตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 865 วรรคแรกก็บัญญัติว่าบุคคลอันการใช้เงินย่อมอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของเขานั้น รู้อยู่แล้วละเว้นเสียไม่เปิดเผยข้อความจริง ซึ่งอาจจะได้จูงใจผู้รับประกันภัยให้เรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นอีก หรือให้บอกปัดไม่ยอมทำสัญญา หรือรู้อยู่แล้วแถลงข้อความนั้นเป็นเท็จไซร้ ท่านว่าสัญญานั้นเป็นโมฆียะ ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของผู้เอาประกันภัยซึ่งการใช้เงินย่อมอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของตน ต้องเปิดเผยข้อความจริงดังกล่าวให้ผู้รับประกันภัยทราบ จะถือว่าการไม่ตรวจสุขภาพของผู้เอาประกันภัยก่อนเป็นการละเลยหาได้ไม่ แม้การประกันชีวิตในทุนประกันต่ำตามหลักเกณฑ์ที่กระทรวงพาณิชย์กำหนดไม่จำเป็นต้องตรวจสุขภาพของผู้เอาประกันภัย ก็ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยไม่ถือเอาเรื่องสุขภาพของผู้เอาประกันภัยเป็นสำคัญ โจทก์ฎีกาข้อสุดท้ายว่าก่อนประกันชีวิตรายพิพาท นางเน้ยได้เอาประกันชีวิตกับจำเลยมาแล้วครั้งหนึ่ง จนกระทั่งครบสัญญา จำเลยไม่เคยบอกล้างเพราะจำเลยได้รับผลประโยชน์ แต่การประกันชีวิตรายพิพาทผู้เอาประกันภัยถึงแก่กรรมจำเลยจะเสียผลประโยชน์จึงยกเอาเรื่องสุขภาพของผู้เอาประกันภัยมาเป็นข้อบอกล้างสัญญา การใช้สิทธิบอกล้างของจำเลยจึงไม่ชอบนั้น เห็นว่า สัญญาประกันชีวิตที่กระทำโดยฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 865วรรคแรก นั้นเป็นโมฆียะ ซึ่งมีผลให้ผู้รับประกันภัยใช้สิทธิบอกล้างได้ หากผู้รับประกันไม่ใช้สิทธิบอกล้างสัญญาดังกล่าวย่อมใช้บังคับได้ จึงเป็นสิทธิของผู้รับประกันภัยจะบอกล้างหรือไม่ก็ได้ดังนั้น แม้ผู้รับประกันภัยจะใช้สิทธิบอกล้างแต่เพียงเฉพาะสัญญารายใด ก็หาเป็นการไม่ชอบไม่ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า นางเน้ยผู้เอาประกันภัยป่วยเป็นโรคเบาหวานเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลทั้งก่อนทำสัญญาประกันชีวิตและต่อเนื่องตลอดมาทุกปีจนถึงขณะทำสัญญาประกันชีวิตแต่นางเน้ยได้แจ้งข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสุขภาพของตนว่าสมบูรณ์ ไม่เคยเป็นโรคเบาหวานและไม่เคยป่วยเจ็บในรอบ 12เดือนที่ผ่านมา จึงเป็นการปกปิดข้อเท็จจริงและแถลงข้อความเป็นเท็จต่อจำเลยสัญญาประกันชีวิตจึงเป็นโมฆียะ จำเลยมีสิทธิบอกล้างได้ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาทุกข้อของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share