คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 380/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้จะรับฟังตามที่โจทก์นำสืบว่า โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยแต่เมื่อขณะทำการซื้อขายที่ดินพิพาทยังอยู่ในระยะเวลาห้ามโอนที่ดินพิพาทภายในกำหนดสิบปีนับแต่วันที่จำเลยได้รับหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่ดินพิพาท ตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 58 ทวิ การซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์จำเลยและการที่จำเลยส่งมอบการครอบครองที่ดินพิพาทให้โจทก์ย่อมตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 58 ทวิ ประกอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 113 แม้โจทก์จะครอบครองที่ดินพิพาทมานานเพียงใดก็ไม่ได้สิทธิครอบครอง ที่ดินพิพาทยังเป็นของจำเลยอยู่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า เมื่อประมาณกลางปี 2516 โจทก์ซื้อที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) จากจำเลยในราคา 10,500 บาท โดยโจทก์ชำระเงินให้แก่จำเลยครบถ้วนแล้วและจำเลยได้ส่งมอบการครอบครองให้โจทก์เข้าทำประโยชน์ตั้งแต่ปีที่ซื้อขาย แต่ยังมิได้มีการเปลี่ยนชื่อทางทะเบียน ต่อมากลางปี 2530 โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยไปทำการโอนที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ จำเลยปฏิเสธอ้างว่ายังเป็นของจำเลยและจะนำไปขายให้แก่บุคคลอื่น ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินตาม น.ส.3 ก. ดังกล่าว เป็นของโจทก์ผู้มีสิทธิครอบครอง ห้ามจำเลยเข้ายุ่งเกี่ยวรบกวนสิทธิการครอบครองที่ดินดังกล่าว ให้จำเลยโอนเปลี่ยนชื่อทางทะเบียนในที่ดินน.ส.3 ก. ดังกล่าวแก่โจทก์ภายใน 7 วัน นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาหากจำเลยไม่ไปโอนเปลี่ยนชื่อให้ถือคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยขายที่ดินพิพาทแก่โจทก์ จำเลยเคยกู้ยืมเงินโจทก์ 3,000 บาท โดยไม่ได้ทำสัญญากู้แต่ได้มอบน.ส. 3 ก. ให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นประกันเงินกู้ จำเลยไม่ได้สละการครอบครองที่ดินแก่โจทก์ จำเลยทำกินอยู่ในที่ดินพิพาทตลอดมาจนถึงปัจจุบัน โจทก์ไม่เคยเข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทและโจทก์ไม่เคยบอกกล่าวให้จำเลยไปโอนเปลี่ยนชื่อทางทะเบียน ขอให้ยกฟ้องโจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่ โจทก์นำสืบว่า ในปี 2516 โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทมาจากจำเลยและนายบัวบิดาจำเลยในราคา 10,500 บาทชำระราคาที่ดินให้แล้วจำเลยได้มอบที่ดินพิพาทให้โจทก์เข้าทำกินตั้งแต่นั้นมาจนถึงปัจจุบัน ถึงแม้ข้อเท็จจริงจะรับฟังได้ตามที่โจทก์นำสืบ แต่ความปรากฏว่า ทางราชการมีข้อกำหนดห้ามโอนที่ดินพิพาทภายในกำหนดสิบปีนับแต่วันที่จำเลยได้รับหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่ดินพิพาทเอกสารหมาย จ.1 คือ ปี 2516ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 58 ทวิ ขณะโจทก์จำเลยซื้อขายที่ดินพิพาทกันในปี 2516 ยังอยู่ในระยะเวลาห้ามโอนที่ดินพิพาทตามกฎหมายดังกล่าว ดังนั้น การซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์จำเลยและการที่จำเลยส่งมอบการครอบครองที่ดินพิพาทให้โจทก์ย่อมตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 58 ทวิ ประกอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 113 แม้โจทก์จะครอบครองที่ดินพิพาทมานานเพียงใดก็ไม่ได้สิทธิครอบครอง ที่ดินพิพาทยังเป็นของจำเลยอยู่ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share