แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพียงกระทงเดียวไม่มีทางที่จำเลยจะมีความผิดฐานเสพเฮโรอีนหรือเสพกัญชา เพราะไม่ใช่เรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษ จึงไม่อาจฟังได้ว่าบ้องกัญชาของกลางเป็นทรัพย์สินที่จำเลยได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดศาลย่อมไม่มีอำนาจริบ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 67, 102 และริบของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 67 ให้จำคุก 1 ปี จำเลยรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา นับเป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 6 เดือน ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้รอการลงโทษจำคุกจำเลยไว้มีกำหนด 2 ปี และคุมประพฤติจำเลยโดยให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติสองเดือนต่อครั้งมีกำหนด 1 ปี และไม่ริบบ้องกัญชาของกลาง นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องให้ลงโทษจำเลยฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาตเพียงกระทงเดียว ไม่มีทางที่จำเลยจะกระทำผิดฐานเสพเฮโรอีนหรือเสพกัญชาได้เลย เพราะไม่ใช่เรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษ การมีบ้องกัญชาของกลางไว้ก็เพื่อกระทำผิดฐานเสพเฮโรอีนหรือเสพกัญชา แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพตามฟ้องข้อเท็จจริงก็ไม่อาจฟังได้ว่าบ้องกัญชาเป็นวัตถุแห่งการกระทำความผิดฐานที่โจทก์ฟ้องเพราะไม่เกี่ยวกับการมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต บ้องกัญชาของกลางจึงมิใช่ทรัพย์สินที่จำเลยได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดคดีนี้ ศาลย่อมไม่มีอำนาจริบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33(1) ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1พิพากษาไม่ริบบ้องกัญชาของกลางนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน