คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6567/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามคำฟ้องเพิ่มเติมที่โจทก์ยื่นคำร้องมาเป็นเรื่องที่โจทก์เรียกเงินที่โจทก์ได้ชำระให้จำเลยไปตั้งแต่วันที่ 13 ธันวาคม 2525พร้อมดอกเบี้ยคืนส่วนตามคำฟ้องเดิมเป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องให้เพิกถอนสัญญายินยอมผ่อนชำระเงินทดแทนพิเศษให้แก่รัฐตามหนังสือฉบับลงวันที่ 29 ธันวาคม 2529 และเรียกเงินที่ได้ชำระไปตามสัญญาดังกล่าวคืน มูลคดีตามคำฟ้องเดิมกับคำฟ้องเพิ่มเติมไม่มีความเกี่ยวข้องกัน และคำฟ้องเพิ่มเติมอีกข้อเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นภายหลังที่โจทก์ฟ้องคดีนี้แล้ว แม้หากจะฟังว่าโจทก์มีสิทธิเรียกร้องคืนจากจำเลย สิทธิของโจทก์ก็เกิดภายหลังที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ จึงถือไม่ได้ว่า คำฟ้องเพิ่มเติมของโจทก์เกี่ยวข้องกับฟ้องเดิม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองเป็นผู้มีอำนาจออกใบอนุญาตตั้งโรงงานหรือใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน จำเลยได้มีหนังสือแจ้งให้โจทก์ลงนามในหนังสือยินยอมจ่ายเงินทดแทนพิเศษให้แก่รัฐโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และไม่ยอมออกใบอนุญาตขยายและประกอบกิจการโรงงานให้แก่โจทก์ กับมิได้กำหนดวันเปิดหีบ และจัดสรรโควต้าน้ำตาลทรายให้โจทก์ แต่ได้แจ้งแก่โจทก์ว่าหากโจทก์ยอมชำระเงินค่าทดแทนพิเศษให้แก่รัฐ โดยยอมให้ผ่อนชำระ 2 ปี รวมสองงวดแล้วจะออกใบอนุญาตให้ขยายและประกอบกิจการโรงงานพร้อมทั้งดำเนินการให้โจทก์มีวันเปิดหีบและจัดสรรโควต้าน้ำตาลทรายให้แก่โจทก์ หากไม่ปฏิบัติตาม โรงงานของโจทก์จะเปิดหีบไม่ได้ซึ่งจะทำให้โจทก์เสียหายคิดเป็นเงินหลายร้อยล้านบาท โจทก์จึงจำต้องตกลงทำสัญญายินยอมผ่อนชำระเงินทดแทนพิเศษให้แก่รัฐลงวันที่29 ธันวาคม 2529 กับได้ชำระเงินทดแทนงวดแรกให้แก่จำเลยที่ 1ไปแล้ว สัญญาที่โจทก์ทำไว้ดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ต่อมาจำเลยได้มีหนังสือที่ อก.0202/3154 ลงวันที่ 2 กันยายน 2531 ให้โจทก์ชำระเงินงวดที่สองพร้อมดอกเบี้ย ขอให้เพิกถอนสัญญายินยอมผ่อนชำระเงินทดแทนพิเศษให้แก่รัฐ ฉบับลงวันที่ 29 ธันวาคม 2529 หนังสือกองคลัง สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ที่ อก.0202/3154ลงวันที่ 2 กันยายน 2531 ไม่มีผลใช้บังคับและเป็นโมฆะให้จำเลยคืนเงินต้นพร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง
หลังจากศาลชั้นต้นชี้สองสถานและดำเนินกระบวนการสืบพยานโจทก์ไปได้ 1 ปาก โจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ไขคำฟ้อง จำเลยทั้งสองยื่นคำแถลงคัดค้านว่า คำฟ้องเดิมกับคำฟ้องที่โจทก์ขอแก้ไขเพิ่มเติมภายหลังไม่มีความเกี่ยวข้องพอที่จะรวมพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกันได้และคดีไม่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งว่า คำฟ้องที่เสนอแต่แรกและคำฟ้องที่เสนอภายหลังไม่มีความเกี่ยวข้องกัน ทั้งโจทก์อาจยื่นคำร้องได้ก่อนวันชี้สองสถาน จึงไม่อนุญาตให้โจทก์แก้ไขคำฟ้องให้ยกคำร้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว คดีมีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ว่า ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้ยกคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องของโจทก์ชอบแล้วหรือไม่ ตามคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องของโจทก์สรุปได้เป็นสองข้อ คือ
1. โจทก์ได้ขอให้จำเลยออกใบอนุญาตตั้งโรงงานให้แก่โจทก์ จำเลยไม่ยอมออกใบอนุญาตให้ แต่กลับบังคับและขู่เข็ญให้โจทก์ชำระเงินทดแทนพิเศษให้แก่รัฐเป็นเงิน 9,369,000 บาท แล้วจำเลยจะไม่ดำเนินคดีอาญาแก่โจทก์ และหากไม่ชำระ จำเลยจะไม่พิจารณาออกใบอนุญาตให้จนโจทก์ต้องชำระเงินจำนวนดังกล่าวให้จำเลยเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2525 ขอให้จำเลยคืนเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
2. จำเลยได้บังคับและข่มขู่ให้โจทก์ชำระเงินตามสัญญายินยอมผ่อนชำระให้แก่รัฐที่โจทก์ค้างชำระงวดที่ 2 จำนวน 8,633,000บาท พร้อมดอกเบี้ย แล้วจำเลยจึงจะพิจารณาเรื่องโจทก์ขอย้ายโรงงานผลิตน้ำตาลของโจทก์จนโจทก์ต้องชำระเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยแก่จำเลยไปเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2532 ขอให้จำเลยคืนเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
พิเคราะห์แล้ว ตามคำฟ้องเพิ่มเติมข้อ 1 เป็นเรื่องที่โจทก์เรียกเงินที่โจทก์ได้ชำระให้จำเลยไปตั้งแต่วันที่ 13 ธันวาคม 2525พร้อมดอกเบี้ยคืน ส่วนตามคำฟ้องเดิมเป็นเรื่องฟ้องให้เพิกถอนสัญญายินยอมผ่อนชำระเงินทดแทนพิเศษให้แก่รัฐ ฉบับลงวันที่ 29 ธันวาคม2529 และเรียกเงินที่ได้ชำระไปตามสัญญาดังกล่าวคืน มูลคดีตามคำฟ้องเดิมกับคำฟ้องเพิ่มเติมไม่มีความเกี่ยวข้องกัน สำหรับคำฟ้องเพิ่มเติมข้อ 2. เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นภายหลังที่โจทก์ฟ้องคดีนี้แล้ว แม้หากจะฟังว่าโจทก์มีสิทธิเรียกร้องคืนจากจำเลย สิทธิของโจทก์ก็เกิดภายหลังที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ จึงถือไม่ได้ว่าคำฟ้องเพิ่มเติมของโจทก์เกี่ยวข้องกับฟ้องเดิม
พิพากษายืน

Share