คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6473/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้จำเลยจะเป็นหญิงรูปร่างเล็กกว่าผู้ตายมากก็ตาม แต่ผู้ตายเพียงแต่ใช้ไม้ไผ่ตีทำร้ายจำเลยเท่านั้น การที่จำเลยยิงผู้ตายถึง4 นัด และกระสุนปืนถูกผู้ตาย 2 นัด ที่บริเวณหน้าท้องอันเป็นอวัยวะสำคัญเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายเป็นการกระทำโต้ตอบรุนแรงเกินสมควร การกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนวัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 4,7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 91, 288, 371และขอให้ริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้น พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 4, 7, 8 ทวิ, 72 วรรคสาม, 72 ทวิ วรรคสามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 93, 288 ประกอบมาตรา 69, 371 ให้เรียงกระทงลงโทษ ฐานมีอาวุธปืนที่มีหมายเลขทะเบียนของผู้อื่นไว้ครอบครองโดยมิได้รับอนุญาต จำคุก 6 เดือน ฐานพาอาวุธปืนกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทจึงให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 8 ทวิ, 72 ทวิ วรรคสามซึ่งเป็นบทหนักที่สุดจำคุก 3 เดือน ฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 2 88 ประกอบมาตรา 69 จำคุก 9 ปี รวมโทษจำคุก 9 ปี 9 เดือนจำเลยให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวน และทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงลงโทษจำคุก 6 ปี 6 เดือนของกลางให้ริบ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้ ให้ลงโทษจำคุกจำเลย 3 ปี ในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยป้องกันเกินสมควรแก่เหตุตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 2 88 ประกอบมาตรา 69 ลดโทษให้หนึ่งในสามแล้วคงจำคุก2 ปี รวมกับโทษจำคุกฐานมีและพาอาวุธปืนซึ่งมีกำหนด 4 เดือน และ2 เดือน ตามลำดับตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว เป็นจำคุก 2 ปี 6 เดือนนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุหรือไม่ซึ่งการวินิจฉัยคดีที่มีปัญหาแต่เฉพาะข้อกฎหมายศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ฟังข้อเท็จจริงว่า ผู้ตายใช่ไม้ไผ่ 1 ท่อน ยาวประมาณ 80 เซนติเมตรเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2 นิ้ว ตีทำร้ายจำเลย จำเลยร้องให้คนช่วยและหลบหนีขึ้นไปบนบ้านเอาอาวุธปืนลงมาจากบ้านแล้วไปที่คอกกระบือ ผู้ตายจะใช้ไม้ไผ่ท่อนดังกล่าวตีทำร้ายจำเลยอีก จำเลยจึงใช้อาวุธปืนนั้นยิงผู้ตาย 4 นัด แต่กระสุนปืนถูกผู้ตายที่บริเวณหน้าท้อง 2 นัด ผู้ตายล้มทรุดลงตรงที่ถูกยิงและถึงแก่ความตาย ดังนั้น เห็นว่า ผู้ตายเพียงแต่จะใช้ไม้ไผ่ตีทำร้ายจำเลยเท่านั้น การที่จำเลยยิงผู้ตายถึง 4 นัด และกระสุนปืนถูกผู้ตาย 2 นัดที่บริเวณหน้าท้องอันเป็นอวัยวะสำคัญเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายเช่นนี้ เป็นการที่จำเลยกระทำการโต้ตอบรุนแรงเกินสมควร การกระทำของจำเลยจึงเป็นการเกินสมควรแก่เหตุ ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยเป็นหญิงรูปร่างเล็กกว่าผู้ตายมาก การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายจนถึงแก่ความตาย จึงเป็นวิถีทางสุดท้ายที่จำเลยจะทำได้ และเป็นการกระทำที่ได้สัดส่วนกับการกระทำของผู้ตาย ไม่เป็นการเกินสมควรแก่เหตุนั้น เห็นว่า แม้จำเลยจะเป็นหญิงรูปร่างเล็กกว่าผู้ตายมากก็ตาม แต่ผู้ตายเพียงแต่ใช้ไม้ไผ่จะตีทำร้ายจำเลยเท่านั้น การที่จำเลยยิงถึง 4 นัด และกระสุนปืนถูกที่บริเวณหน้าท้องผู้ตายอันเป็นอวัยวะสำคัญ 2 นัดแสดงว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้ตาย จึงเป็นการกระทำที่เกินสมควรแก่เหตุ หาใช่เป็นการพอสมควรแก่เหตุดังที่จำเลยอ้างในฎีกาไม่ ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น แต่ตามพฤติการณ์แห่งคดีปรากฏว่าผู้ตายเป็นฝ่ายก่อเหตุใช้ไม้ตีทำร้ายจำเลยก่อน อีกทั้งจำเลยเป็นหญิงไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน ยังอยู่ในวิสัยที่จำเลยจะกลับตัวเป็นพลเมืองดีได้ จึงสมควรรอการลงโทษจำเลยไว้ แต่เพื่อให้หลาบจำจึงให้ลงโทษปรับจำเลยในความผิดฐานมีและพาอาวุธปืนด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานมีอาวุธปืนตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 วรรคสาม ให้ลงโทษปรับจำเลยอีกสถานหนึ่งเป็นเงิน 4,000 บาท และความผิดฐานพาอาวุธปืนตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสองให้ลงโทษปรับจำเลยอีกสถานหนึ่ง เป็นเงิน 2,000 บาท รวมปรับ6,000 บาท ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78คงปรับ 4,000 บาท โทษจำคุกจำเลยตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ทุกกระทงให้รอการลงโทษไว้กระทงละ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามมาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2

Share