คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6249/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามคำขอเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันและระเบียบการเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวัน ข้อ 11 มีข้อความว่า ถ้าบัญชีของผู้ฝากมีเงินไม่พอจ่ายตามเช็ค ธนาคารมีสิทธิปฏิเสธการจ่ายเงิน ทั้งมีสิทธิที่จะปิดบัญชีของผู้ฝาก โดยมิต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า และยินยอมให้ธนาคารจ่ายเงินตามเช็คไปก่อนได้ถึงแม้ว่าเงินในบัญชีของผู้ฝากมีไม่พอจ่าย โดยผู้ฝากยอมใช้เงินส่วนที่ธนาคารจ่ายเกินบัญชีนั้นคืนพร้อมทั้งยอมให้คิดดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยอนุญาตให้ธนาคารเรียกเก็บได้ขณะนั้น นับแต่วันที่ธนาคารได้จ่ายเงินโดยที่เจ้าของบัญชีจะรับทราบหรือไม่ก็ตามข้อ 16 มีใจความว่า ให้ธนาคารมีสิทธิหักหนี้สินใด ๆ ที่ผู้ฝากเป็นหนี้ธนาคารอยู่ และข้อ 17 มีใจความว่า ธนาคารจะจัดส่งรายการเดินสะพัดของบัญชีเงินฝากไปยังผู้ฝาก เมื่อพิจารณาข้อความดังกล่าวเห็นได้ว่าคู่กรณีมีเจตนาที่จะเดินสะพัดบัญชีกัน ดังนั้นสัญญาระหว่างโจทก์จำเลยจึงเป็นสัญญาบัญชีเดินสะพัด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 856

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดจำเลยขอเปิดบัญชีเดินสะพัดประเภทเงินฝากกระแสรายวันกับโจทก์โดยจำเลยยินยอมปฏิบัติตามประเพณีการค้าและวิธีปฏิบัติของธนาคารพาณิชย์และของโจทก์ เมื่อหักทอนบัญชีในวันที่ 8 สิงหาคม 2528จำเลยเป็นหนี้โจทก์จำนวน 298,756.99 บาท โจทก์ทวงถามหลายครั้งแต่จำเลยไม่ชำระ โจทก์จึงบอกเลิกสัญญา โจทก์ขอคิดดอกเบี้ยโดยไม่ทบต้นนับแต่วันที่ 9 สิงหาคม 2528 ถึงวันฟ้องเป็นเงิน 161,844.42บาท รวมกับต้นเงินเป็นเงิน 460,601.41 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 460,601.41 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ15 ต่อปี จากต้นเงิน 298,756.99 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โดยไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะนำคำฟ้องมายื่นใหม่ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยอายุความ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า สัญญาระหว่างโจทก์จำเลยเป็นสัญญาบัญชีเดินสะพัดหรือไม่เห็นว่า ตามคำขอเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันและระเบียบการเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวัน ข้อ 11 มีข้อความว่า ถ้าบัญชีของผู้ฝากมีเงินไม่พอจ่ายตามเช็คธนาคารมีสิทธิปฏิเสธการจ่ายเงิน ทั้งมีสิทธิที่จะปิดบัญชีของผู้ฝากโดยมิต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า และยินยอมให้ธนาคารจ่ายเงินตามเช็คไปก่อนได้ถึงแม้ว่าเงินในบัญชีของผู้ฝากมีไม่พอจ่าย โดยผู้ฝากยอมใช้เงินส่วนที่ธนาคารจ่ายเกินบัญชีนั้นคืนพร้อมทั้งยอมให้คิดดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยอนุญาตให้ธนาคารเรียกเก็บได้ขณะนั้น นับแต่วันที่ธนาคารได้จ่ายเงินโดยที่เจ้าของบัญชีจะรับทราบหรือไม่ก็ตาม ข้อ 16 มีใจความว่าให้ธนาคารมีสิทธิหักหนี้สินใด ๆ ที่ผู้ฝากเป็นหนี้ธนาคารอยู่และข้อ 17 มีใจความว่า ธนาคารจะจัดส่งรายการเดินสะพัดของบัญชีเงินฝากไปยังผู้ฝาก เมื่อพิจารณาข้อความดังกล่าวเห็นได้ว่าโจทก์จำเลยตกลงให้ตัดทอนบัญชีหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนอันเกิดขึ้นระหว่างโจทก์จำเลยหักกลบลบกัน และคงชำระแต่ส่วนที่เป็นจำนวนคงเหลือทั้งข้อความที่ระบุไว้ในข้อ 17 ก็กล่าวไว้ชัดแจ้งว่า โจทก์จะส่งรายการเดินสะพัดของบัญชีไปให้จำเลยด้วย ทั้งคู่กรณีก็มีเจตนาที่จะเดินสะพัดบัญชีกัน ดังนั้นสัญญาระหว่างโจทก์จำเลยจึงเป็นสัญญาบัญชีเดินสะพัด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 856
พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 298,756.99 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี นับแต่วันที่ 9 สิงหาคม 2528ถึงวันที่ 1 มกราคม 2529 ในอัตราร้อยละ 17 ต่อปี นับแต่วันที่2 มกราคม 2529 ถึงวันที่ 4 มีนาคม 2529 และในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีนับแต่วันที่ 5 มีนาคม 2529 จนถึงวันชำระเสร็จ แต่ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องไม่เกิน 161,844.42 บาท แก่โจทก์

Share