คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6011/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 3 ในฐานะผู้รับประกันภัยรถยนต์ซึ่งจำเลยที่ 1 ลูกจ้างหรือตัวแทนของจำเลยที่ 2 เป็นผู้ขับต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ จำเลยที่ 3 ไม่ได้ให้การต่อสู้ว่าจำเลยที่ 3 ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ เพราะจำเลยที่ 2ผู้เอาประกันไม่ต้องรับผิด แม้ศาลชั้นต้นจะได้ตั้งประเด็นข้อพิพาทในวันชี้สองสถานว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 3 หรือไม่และยกขึ้นวินิจฉัยก็เป็นการตั้งประเด็นและวินิจฉัยนอกฟ้องและคำให้การเป็นการไม่ชอบ การที่จำเลยที่ 3 ยกปัญหาดังกล่าวขึ้นอ้างในชั้นฎีกาจึงถือว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นทั้งมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน หรือเป็นกรณีที่จำเลยที่ 3 ไม่สามารถยกขึ้นกล่าวในศาลชั้นต้นเพราะพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 กระทำละเมิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 2เป็นนายจ้างและจำเลยที่ 3 เป็นผู้รับประกันภัย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน 138,374.50 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินจำนวน 133,372 บาทนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสามให้การว่า จำเลยทั้งสามไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 90,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่14 พฤษภาคม 2530 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์ ฟ้องโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้ยกเสีย
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ร่วมกันชำระเงินจำนวน 90,700 บาท แก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 3ในข้อกฎหมายข้อเดียวว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 887จำเลยที่ 3 ในฐานะผู้รับประกันภัยจะต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นต่อโจทก์ก็ต่อเมื่อผู้เอาประกันภัยคือจำเลยที่ 2ต้องรับผิดในเหตุละเมิด ฉะนั้นเมื่อศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิด จำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องรับผิดด้วย เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 3 ในฐานะผู้รับประกันภัยรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ก-2185 ปทุมธานี ซึ่งจำเลยที่ 1เป็นผู้ขับต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ จำเลยที่ 3 ไม่ได้ให้การต่อสู้ว่า จำเลยที่ 3 ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ เพราะจำเลยที่ 2ผู้เอาประกันไม่ต้องรับผิด จำเลยที่ 3 เพิ่งยกขึ้นกล่าวอ้างในชั้นฎีกา จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและแม้ศาลชั้นต้นจะได้ตั้งประเด็นข้อพิพาทในวันชี้สองสถานว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 3 หรือไม่ และยกขึ้นวินิจฉัยก็เป็นการตั้งประเด็นและวินิจฉัยนอกฟ้องและคำให้การจึงเป็นการไม่ชอบถือว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นต้องห้ามมิให้จำเลยที่ 3 ฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคหนึ่ง ทั้งปัญหาดังกล่าวก็มิใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนหรือเป็นกรณีที่จำเลยที่ 3 ไม่สามารถยกปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวขึ้นกล่าวในศาลชั้นต้นเพราะพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคสอง เพราะจำเลยที่ 3 ทราบข้อเท็จจริงดีอยู่แล้วในขณะยื่นคำให้การว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้เอาประกันภัยและจะต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่ ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาจำเลยที่ 3 เป็นการไม่ชอบศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้”
พิพากษายกฎีกาจำเลยที่ 3

Share