คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5892/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อ พ.รับโจทก์ที่6เป็นบุตรบุญธรรมแล้วส. ซึ่งเป็นบิดาโดยกำเนิดย่อมหมดอำนาจปกครองโจทก์ที่ 6 นับแต่วันเวลาที่โจทก์ที่ 6 เป็นบุตรบุญธรรมของ พ. ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1598/28 และแม้ว่าต่อมา พ. จะถึงแก่กรรมอันเป็นเหตุให้ความเป็นผู้ปกครองของ พ. สิ้นสุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1598/7 เดิม การรับบุตรบุญธรรมก็หาได้สิ้นสุดลงด้วยไม่โดยนิตินัยโจทก์ที่ 6 ยังคงเป็นบุตรบุญธรรมของ พ.อยู่ บิดาผู้ให้กำเนิดเดิมจึงไม่มีอำนาจปกครองตามกฎหมาย กรณีไม่ใช่เป็นการเลิกรับบุตรบุญธรรมอันจะเป็นเหตุให้บุตรบุญธรรมกลับคืนสู่ฐานะอย่างสมบูรณ์ในครอบครัวเดิมของตน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1598/37 เดิม ส. จึงไม่มีอำนาจดำเนินคดีแทนโจทก์ที่ 6

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 5 เป็นบุตรของร้อยตรีพรมกับนางบัวจันทร์ซึ่งจดทะเบียนสมรสกัน ร้อยตรีพรมได้จดทะเบียนสมรสกับจำเลยและมีบุตรด้วยกัน 2 คน โจทก์ที่ 6 เป็นบุตรบุญธรรมของร้อยตรีพรม หลังจากที่ร้อยตรีพรมถึงแก่กรรม ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตั้งโจทก์ที่ 2 และจำเลยเป็นผู้จัดการมรดกของร้อยตรีพรมร่วมกัน โจทก์ที่ 2 จะดำเนินการแบ่งมรดกแก่ทายาทตามส่วนแต่จำเลยไม่ยินยอม ทำให้โจทก์ทั้งหกได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยแบ่งทรัพย์มรดก
จำเลยให้การว่า โจทก์ทั้งหกเป็นทายาทโดยธรรมมีสิทธิได้รับมรดกของร้อยตรีพรม แต่โจทก์ที่ 6 ไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้เพราะร้อยตรีพรมรับโจทก์ที่ 6 เป็นบุตรบุญธรรมแล้ว นายสงวนจึงไม่อยู่ในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรมของโจทก์ที่ 6 อีกต่อไป ทรัพย์สินที่โจทก์ทั้งหกฟ้องมิได้เป็นทรัพย์มรดกของร้อยตรีพรมทุกส่วน เพราะเป็นทรัพย์สินซึ่งจำเลยและร้อยตรีพรมทำมาหาได้ร่วมกันระหว่างสมรสเมื่อร้อยตรีพรมถึงแก่กรรมจึงเป็นมรดกของร้อยตรีพรมเพียงกึ่งหนึ่งเท่านั้น จำเลยไม่ขัดข้องที่จะแบ่งทรัพย์ในส่วนที่เป็นมรดกของร้อยตรีพรมให้แก่ทายาทตามส่วนโดยชอบ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยแบ่งที่ดินโฉนดเลขที่3210 ออกเป็น 12 ส่วน ให้โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 5 ได้รับส่วนแบ่งคนละ22/108 ส่วน โจทก์ที่ 6 กับบุตรจำเลยอีกสองคนได้รับส่วนแบ่งคนละ13/108 ส่วน และจำเลยได้ส่วนแบ่ง 67/108 ส่วน และให้แบ่งที่ดินโฉนดเลขที่ 13997 รถจักรยานยนต์และอาวุธปืนสั้นออกเป็นสองส่วนส่วนหนึ่งให้ตกเป็นของจำเลย อีกส่วนหนึ่งเป็นทรัพย์มรดกของร้อยตรีพรมให้แบ่งออกเป็น 9 ส่วน ตกแก่โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 6จำเลยและบุตรอีก 2 คน คนละหนึ่งส่วนหากแบ่งไม่ได้ให้นำทรัพย์พิพาทขายทอดตลาดนำเงินที่ขายได้แบ่งกันตามส่วนที่ทายาทแต่ละคนจะได้รับดังวินิจฉัยข้างต้น ส่วนค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความให้ตกเป็นพับ
โจทก์ทั้งหกอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยแบ่งที่ดินโฉนดเลขที่ 3210 ออกเป็น 12 ส่วน ให้โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 5 ได้ส่วนแบ่งคนละ 1 ส่วน และแบ่งที่ดินโฉนดเลขที่ 13997 รถจักรยานยนต์และอาวุธปืนสั้นออกเป็น 18 ส่วน ให้โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 5 ได้คนละ 1 ส่วนหากแบ่งไม่ได้ให้นำทรัพย์สินดังกล่าวออกขายทอดตลาดนำเงินที่ขายได้แบ่งให้โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 5 ตามส่วนดังกล่าว และให้ยกฟ้องโจทก์ที่ 6 ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
โจทก์ทั้งหกฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาว่านายสงวนมีอำนาจดำเนินคดีแทนโจทก์ที่ 6 ซึ่งเป็นผู้เยาว์หรือไม่ เห็นว่า แม้นายสงวนจะเป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ที่ 6 ก็ตาม แต่เมื่อร้อยตรีพรมรับโจทก์ที่ 6 เป็นบุตรบุญธรรมแล้ว นายสงวนซึ่งเป็นบิดาโดยกำเนิดย่อมหมดอำนาจปกครองโจทก์ที่ 6 นับแต่วันเวลาที่โจทก์ที่ 6 เป็นบุตรบุญธรรมของร้อยตรีพรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1598/28 และแม้ว่าต่อมาภายหลังร้อยตรีพรมจะถึงแก่กรรมอันเป็นเหตุให้ความเป็นผู้ปกครองของร้อยตรีพรมสิ้นสุดลงตามมาตรา 1598/7 เดิม ก็ตาม แต่การรับบุตรบุญธรรมก็หาได้สิ้นสุดลงด้วยไม่ โดยนิตินัยโจทก์ที่ 6 ยังคงเป็นบุตรบุญธรรมของร้อยตรีพรมอยู่ บิดาผู้ให้กำเนิดเดิมของโจทก์ที่ 6 จึงไม่มีอำนาจปกครองตามกฎหมาย กรณีเช่นนี้หาใช่เป็นการเลิกรับบุตรบุญธรรมอันจะเป็นเหตุให้บุตรบุญธรรมกลับคืนสู่ฐานะอย่างสมบูรณ์ในครอบครัวเดิมของตนตามความในมาตรา 1598/37 เดิม ดังที่โจทก์ทั้งหกฎีกาไม่ นายสงวนจึงไม่มีอำนาจดำเนินคดีแทนโจทก์ที่ 6
พิพากษายืน

Share