คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5146/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยในฐานะผู้เช่าออกจากที่ดินพิพาทโดยอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์รับซื้อฝากมาจากจำเลยและตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ต่อมาจำเลยเช่าจนครบกำหนดตามสัญญา โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยออกไปแล้ว จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า สัญญาขายฝากเป็นนิติกรรมอำพรางซึ่งทำขึ้นเพื่อเป็นหลักประกันเงินที่นาย บ. กู้ยืมไปจากโจทก์ต่อมานาย บ. ชำระหนี้เงินกู้ให้โจทก์แล้ว โจทก์ไม่ยอมให้จำเลยไถ่ถอนการขายฝาก จำเลยไม่เคยรับเงินตามสัญญาขายฝากหรือเช่าที่ดินพิพาทขอให้โจทก์จดทะเบียนไถ่ถอนให้ ดังนี้แม้โจทก์จะให้การแก้ฟ้องแย้งยอมรับว่าสัญญาขายฝากและสัญญาเช่าทำขึ้นเพื่อประกันการกู้ยืมของนาย บ. ข้อเท็จจริงก็ยังฟังไม่ถนัดเสียทีเดียวว่าที่ดินพิพาทเป็นของฝ่ายใด และสัญญาขายฝากกับสัญญาเช่าเป็นโมฆะหรือไม่ ทั้งสัญญาขายฝากถึงหากจะเป็นนิติกรรมอำพรางตกเป็นโมฆะแต่เอกสารสัญญาก็ยังเป็นหลักฐานการค้ำประกันการกู้ยืมได้สัญญาเช่าที่ดินพิพาทจำเลยก็ปฏิเสธว่าไม่ทราบว่าเป็นการเช่าซึ่งต้องฟังข้อเท็จจริงโดยการสืบพยานหลักฐานกันต่อไป ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดชี้สองสถานและงดสืบพยานเสียนั้นเป็นการไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้นำที่ดินมาจดทะเบียนขายฝากไว้แก่โจทก์และจำเลยรับเงินไปจากโจทก์ครบถ้วนแล้ว เมื่อครบกำหนดตามสัญญาจำเลยไม่นำเงินมาไถ่ถอน กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทจึงเป็นของโจทก์หลังจากนั้นจำเลยได้เช่าที่ดินพิพาทจากโจทก์ทำนาทุกปี เมื่อครบกำหนดตามสัญญาเช่า โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยออกจากที่ดินพิพาทแล้วขอให้บังคับจำเลยชำระค่าเช่า 5,200 บาท แก่โจทก์ให้จำเลยพร้อมทั้งบริวารออกไปจากที่ดินพิพาทและห้ามมิให้เกี่ยวข้องอีกต่อไป
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยได้นำที่ดินพิพาทตามฟ้องขายฝากไว้แก่โจทก์จริง แต่สัญญาขายฝากทำกันขึ้นไว้เป็นหลักฐานเพื่อประกันการที่นายบุญโลมยืมเงินโจทก์ โดยโจทก์สัญญาว่าเมื่อนายบุญโลมนำเงินจำนวนดังกล่าวคืนให้แก่โจทก์แล้ว โจทก์ก็จะไถ่ถอนสัญญาขายฝากทันที จำเลยไม่ได้รับเงินตามสัญญาขายฝากสัญญาขายฝากเป็นนิติกรรมอำพราง จำเลยไม่เคยเช่าที่ดินพิพาทจากโจทก์ต่อมานายบุญโลมได้นำเงินยืมใช้คืนให้แก่โจทก์แล้วแต่โจทก์ไม่ไถ่ถอนที่ดินพิพาทให้จำเลย โจทก์จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา ต่อมาโจทก์ได้นำหนังสือสัญญาเช่าให้จำเลยลงชื่อโดยอ้างว่าจะไถ่ถอนสัญญาขายฝากที่ดินพิพาทให้แก่จำเลย สัญญาเช่าจึงเป็นโมฆะ ขอให้ยกฟ้องและบังคับให้โจทก์จดทะเบียนไถ่ถอนสัญญาขายฝากให้แก่จำเลย หากโจทก์ไม่ยอมให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนา
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า สัญญาขายฝากที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยทำขึ้นเพื่อประกันการยืมเงินของนายบุญโลมจริงแต่เมื่อครบกำหนดนายบุญโลมไม่ชำระเงิน โจทก์จึงไม่ไถ่ถอนสัญญาขายฝาก และโจทก์ให้จำเลยทำสัญญาเช่าที่ดินพิพาทเพื่อเป็นประกันให้นายบุญโลมนำเงินยืมมาชดใช้แก่โจทก์ ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ในวันชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้แล้วจึงให้งดชี้สองสถานและงดสืบพยานโจทก์จำเลย แล้วพิพากษายกฟ้องให้โจทก์จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทคืนแก่จำเลย หากโจทก์ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ระหว่างพิจารณา จำเลยถึงแก่กรรม นางทัชรา ทายาทจำเลยร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลอุทธรณ์ภาค 1 อนุญาต
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยในฐานะผู้เช่าออกจากที่ดินพิพาทโดยอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์รับซื้อฝากมาจากจำเลยและตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ และให้จำเลยเช่า ครบกำหนดตามสัญญาโจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยเช่าได้บอกกล่าวให้จำเลยออกไปแล้วจำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าสัญญาขายฝากที่ดินพิพาทเป็นนิติกรรมอำพรางทำขึ้นเพื่อเป็นหลักประกันเงินที่นายบุญโลมกู้ยืมไปจากโจทก์จำเลยไม่ได้รับเงินตามสัญญาขายฝาก ต่อมานายบุญโลมชำระเงินกู้ให้โจทก์แล้วโจทก์ไม่ยอมให้จำเลยไถ่ถอนการขายฝาก จำเลยไม่เคยเช่าจากโจทก์ ขอให้โจทก์จดทะเบียนไถ่ถอนให้จำเลย ดังนี้แม้โจทก์จะให้การแก้ฟ้องแย้งยอมรับว่าสัญญาขายฝากที่ดินพิพาทและสัญญาเช่าทำขึ้นเพื่อประกันการกู้ยืมเงินของนายบุญโลม ข้อเท็จจริงก็ยังฟังไม่ได้ถนัดเสียทีเดียวว่าที่ดินพิพาทเป็นของฝ่ายใดและสัญญาขายฝากกับสัญญาเช่าเป็นโมฆะไม่มีผลบังคับหรือไม่ ทั้งสัญญาขายฝากถึงหากจะเป็นนิติกรรมอำพรางตกเป็นโมฆะแต่เอกสารสัญญาก็ยังเป็นหลักฐานการค้ำประกันการกู้ยืมได้ สัญญาเช่าที่ดินพิพาทจำเลยก็ยอมรับว่าได้ลงชื่อเป็นผู้เช่าไว้แต่ปฏิเสธว่าไม่ทราบว่าเป็นการเช่าซึ่งต้องฟังข้อเท็จจริงโดยการสืบพยานหลักฐานกันต่อไป ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดชี้สองสถานและงดสืบพยานเสียนั้นเป็นการไม่ชอบด้วยการดำเนินกระบวนพิจารณา
พิพากษายืน

Share