คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4996/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฟ้องโจทก์กล่าวอ้างว่า โจทก์เป็นผู้เช่าอาคารพิพาทจากโจทก์ร่วมจำเลยเข้ามาอยู่ในอาคารพิพาทโดยละเมิด ขอให้ขับไล่และชดใช้ค่าเสียหายแม้โจทก์จะกล่าวอ้างว่า อาจนำอาคารพิพาทออกให้บุคคลอื่นเช่าจะได้ค่าเช่าไม่น้อยกว่าเดือนละ 10,000 บาท แต่ศาลชั้นต้นกำหนดค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 320 บาท โจทก์มิได้อุทธรณ์จึงถือได้ว่าอาคารพิพาทอาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละ 5,000 บาทแม้จำเลยจะให้การและฟ้องแย้ง แต่ก็มิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ คดีนี้จึงเป็นคดีฟ้องขับไล่บุคคลใด ๆ ออกจากอสังหาริมทรัพย์อันอาจให้เช่าได้ในขณะยื่นฟ้องไม่เกินเดือนละ5,000 บาท ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคสอง แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง(ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2518 มาตรา 6 ที่ใช้บังคับในขณะยื่นฎีกา ฟ้องแย้งของจำเลยเป็นคำขอปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ จึงไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเหมือนอย่างฟ้องโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้เช่าอาคารเลขที่ 119 จากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ โดยรับโอนสิทธิการเช่ามาจากนายวรกิจสาชลสวัสดิ์วงศ์ พี่ชายของจำเลย ต่อมาจำเลยได้ครอบครองกุญแจอาคารและอาคารดังกล่าวไว้โดยละเมิดเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายหากโจทก์นำอาคารดังกล่าวออกให้บุคคลอื่นเช่าจะได้ค่าเช่าเดือนละไม่น้อยกว่า 10,000 บาท โจทก์ขอคิดค่าเสียหายจากจำเลยเป็นเวลาเพียง 1 ปี เป็นเงินค่าเสียหาย 120,000 บาท ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากอาคารเลขที่ 119 และให้จำเลยส่งมอบกุญแจอาคารและอาคารดังกล่าวให้โจทก์ในสภาพเรียบร้อย ให้จำเลยชำระค่าเสียหายจำนวน 120,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินจำนวนดังกล่าว และให้จำเลยชำระค่าเสียหายเดือนละ 10,000บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะส่งมอบกุญแจอาคารและอาคารดังกล่าวให้โจทก์
โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นเรียกสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เข้ามาเป็นโจทก์ร่วม ศาลอนุญาต
โจทก์ร่วมฟ้องว่า อาคารพิพาทเป็นทรัพย์สินของโจทก์ร่วมโจทก์ร่วมมีหน้าที่ดูแลรักษาและจัดหาผลประโยชน์ โจทก์ร่วมได้ให้โจทก์เช่าอาคารดังกล่าวเพื่อประกอบการค้าและอยู่อาศัย ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารให้ขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากอาคารเลขที่ 119และห้ามมิให้เข้ามาเกี่ยวข้องกับอาคารพิพาทอีกต่อไป
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยได้รับมอบการครอบครองจากนายวรกิจ และครอบครองจนได้สิทธิแล้ว โจทก์นำคดีมาฟ้องอันเป็นมูลละเมิดและเรียกเอาคืนซึ่งการครอบครองเมื่อล่วงเลยกำหนดเวลา 1 ปีฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ จำเลยได้ยื่นเรื่องขอเช่าอาคารพิพาทนี้โดยตรงต่อโจทก์ร่วม และโจทก์ร่วมได้บอกเลิกสัญญาเช่าแก่โจทก์แล้วจำเลยในฐานะผู้ครอบครองอาคารพิพาทย่อมเป็นผู้มีสิทธิในการขอเช่าอาคารพิพาทดีกว่าโจทก์ ขอให้ยกฟ้องและพิพากษาว่า จำเลยมีสิทธิการเช่าดีกว่าโจทก์ ห้ามโจทก์ยื่นคำร้องคัดค้านในการที่จำเลยขอเช่าอาคารพิพาทกับโจทก์ร่วม ห้ามโจทก์เข้าไปเกี่ยวข้องในอาคารพิพาทดังกล่าว กับให้เพิกถอนสัญญาโอนสิทธิการเช่าระหว่างโจทก์กับนายวรกิจ
จำเลยให้การและฟ้องแย้งโจทก์ร่วมว่า โจทก์ร่วมได้บอกเลิกสัญญาเช่าอาคารพิพาทแก่โจทก์แล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิใด ๆ จะฟ้องจำเลยได้ และไม่มีสิทธิเรียกโจทก์ร่วมเข้ามาในคดี โจทก์ร่วมได้แนะนำให้โจทก์นำคดีมาฟ้องและให้เรียกโจทก์ร่วมเข้ามาในคดีอันเป็นการชี้ช่องให้เป็นความกันซึ่งเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ขอให้ยกฟ้องโจทก์ร่วม
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยไม่มีอำนาจที่จะฟ้องแย้งโจทก์หรือโจทก์ร่วม เพราะโจทก์หรือโจทก์ร่วมไม่มีนิติสัมพันธ์ใด ๆกับจำเลย การที่จำเลยพักอาศัยอยู่ในอาคารพิพาทเป็นการอยู่โดยละเมิดสิทธิของโจทก์และโจทก์ร่วม สัญญาเช่าระหว่างโจทก์ร่วมกับโจทก์ยังมีผลบังคับอยู่ และจำเลยไม่ได้สิทธิใด ๆ ในอาคารพิพาท ขอให้ยกฟ้องแย้ง
โจทก์ร่วมให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์ร่วมมิได้บอกเลิกสัญญาเช่าแก่โจทก์ และโจทก์ร่วมมิได้จัดให้จำเลยเข้าทำสัญญาเช่าอาคารพิพาท การเข้าเป็นโจทก์ร่วมในคดีนี้เป็นไปตามคำสั่งเรียกของศาล และเป็นการใช้สิทธิอันพึงมีพึงได้ที่มีอยู่ตามกฎหมายของโจทก์ร่วมจึงหาได้เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตไม่ ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้องแย้งของจำเลยให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากอาคารเลขที่ 119 และให้จำเลยส่งมอบกุญแจอาคารและอาคารดังกล่าวให้โจทก์ในสภาพเรียบร้อย ให้จำเลยชำระค่าเสียหาย3,840 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจำเลยจะชำระให้โจทก์เสร็จสิ้น ให้จำเลยชำระค่าเสียหายให้โจทก์อีกเดือนละ 320 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกจากอาคารพิพาทกับส่งมอบอาคารพิพาทและกุญแจอาคารให้โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามคำฟ้องของโจทก์กล่าวอ้างว่า โจทก์เป็นผู้เช่าอาคารพิพาทจากโจทก์ร่วม จำเลยได้เข้ามาอยู่ในอาคารพิพาทโดยละเมิด ขอให้ขับไล่และชดใช้ค่าเสียหาย แม้โจทก์จะกล่าวอ้างว่าอาจนำอาคารพิพาทออกให้บุคคลอื่นเช่า จะได้ค่าเช่าเดือนละไม่น้อยกว่า10,000 บาท แต่ศาลชั้นต้นเห็นว่า ตามสัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับโจทก์ร่วม ระบุไม่ให้โจทก์นำอาคารพิพาททั้งหมดหรือแต่บางส่วนไปโอนหรือให้เช่าช่วง หรือยอมให้ผู้อื่นเข้าครอบครองหรือใช้ประโยชน์จึงกำหนดค่าเสียหายแก่โจทก์เท่าค่าเช่าที่โจทก์ต้องชำระแก่โจทก์ร่วมเดือนละ 320 บาท โจทก์มิได้อุทธรณ์ จึงถือได้ว่าอาคารพิพาทอาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละ 5,000 บาท แม้จำเลยจะให้การต่อสู้คดีและฟ้องแย้งเข้ามาด้วย แต่จำเลยก็มิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์คดีนี้จึงเป็นคดีฟ้องขับไล่บุคคลใด ๆ ออกจากอสังหาริมทรัพย์อันอาจให้เช่าได้ในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละ5,000 บาท ซึ่งต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคสอง แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง(ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2518 มาตรา 6 ที่บังคับใช้ในขณะยื่นฎีกา ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์มิได้มอบอำนาจให้นายพิสุทธิ์ อู่อุดมยิ่ง ฟ้องคดีนี้สัญญาโอนสิทธิการเช่าอาคารพิพาทระหว่างนายวรกิจ สาชลสวัสดิ์วงศ์กับโจทก์ เป็นเพียงการค้ำประกันหนี้ที่มีต่อกัน มิได้มีเจตนาผูกพันตามสัญญาดังกล่าว จำเลยมิได้ละเมิดสิทธิครอบครองอาคารพิพาทของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องและเรียกค่าเสียหายนั้นล้วนแต่เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย แล้วศาลฎีกาวินิจฉัยฎีกาของจำเลยในส่วนที่เกี่ยวกับฟ้องแย้งว่าโจทก์มิได้ประพฤติผิดสัญญาเช่า สัญญาเช่าอาคารพิพาทระหว่างโจทก์กับโจทก์ร่วมมีผลบังคับกันต่อไป จำเลยมิได้เป็นผู้เช่าอาคารพิพาทและมิได้มีนิติสัมพันธ์ใด ๆ กับโจทก์หรือโจทก์ร่วมการที่จำเลยเข้าครอบครองอาคารพิพาทจึงเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share