คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4995/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ผู้เสียหายซึ่งเป็นเด็กกับจำเลยสมัครใจรักใคร่ชอบพอกันโดยจำเลยยังไม่มีภริยามาก่อน และจำเลยได้พาผู้เสียหายไปนอนหลับได้เสียกันก็เพื่อประสงค์จะกินอยู่ด้วยฉันสามีภริยา ต่อมาฝ่ายจำเลยมีเหตุขัดข้องไม่สามารถจัดหาสินสอดและของหมั้นไปสู่ขอผู้เสียหายจากบิดามารดาผู้เสียหายตามประเพณีได้ จึงมิได้อยู่กินด้วยกัน ดังนี้การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานพรากเด็กไปเพื่อการอนาจาร

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 277, 317
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสอง การกระทำของจำเลยเป็นความผิดสองกรรมต่างกันลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ขณะเกิดเหตุจำเลยมีอายุเพียง 19 ปีลดมาตราส่วนโทษให้จำเลยกึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76วางโทษจำคุกกระทงละ 6 ปี รวมจำคุก 12 ปี จำเลยให้การรับสารภาพมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78คงจำคุก 6 ปี ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยอัยการสูงสุดรับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า จำเลยมีความผิดฐานพรากเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดาโดยปราศจากเหตุอันสมควรเพื่อการอนาจารหรือไม่ข้อเท็จจริงได้ความจากคำเบิกความของผู้เสียหายและจำเลยว่าผู้เสียหายกับจำเลยรักใคร่ชอบพอกันผู้เสียหายไปหาจำเลยที่คิวรถซึ่งเป็นที่ทำงานของจำเลยหลายครั้ง จนได้เสียกันเมื่อบิดามารดาผู้เสียหายพบเข้าทั้งสองฝ่ายก็ตกลงให้มีการสู่ขอตามประเพณีผู้เสียหายคิดว่าจำเลยจะหมั้นจึงไปหาจำเลยให้พาไปนอนค้าง และจะอยู่ที่บ้านบิดามารดาจำเลย แม้บิดามารดาจำเลยให้ผู้เสียหายกลับบ้านไปก่อนก็ไม่ยอมกลับจนกระทั่งบิดามารดาผู้เสียหายพาเจ้าพนักงานตำรวจไปจับกุมดำเนินคดี การที่ผู้เสียหายกับจำเลยสมัครใจรักใคร่กัน โดยที่จำเลยยังไม่มีภริยามาก่อน ได้พาผู้เสียหายไปนอนหลับได้เสียกันก็เพื่อประสงค์จะกินอยู่ด้วยกันฉันสามีภริยา แต่ขัดข้องอยู่ที่ไม่สามารถจัดหาสินสอดและของหมั้นไปสู่ขอจากบิดามารดาผู้เสียหายตามประเพณี การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานพรากเด็กไปเพื่อการอนาจาร ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องข้อหานี้ชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น อนึ่ง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสอง เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 วางโทษจำคุกกระทงละ 6 ปี รวมจำคุก12 ปี และลดโทษให้อีกกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 6 ปี นั้น เห็นว่า หนักเกินไปไม่เหมาะสมแก่รูปคดี เห็นสมควรแก้ไข”
พิพากษาแก้เป็นว่า ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งแล้ววางโทษจำคุกกระทงละ 4 ปี รวมจำคุก 8 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78คงจำคุก 4 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share