คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4819/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยเคยเป็นโจทก์ฟ้องโจทก์ในคดีนี้ว่า รถยนต์คันพิพาทในคดีนี้เป็นทรัพย์มรดกของพลตำรวจตรีท. ขอให้โจทก์คืนรถยนต์คันพิพาทให้จำเลยหรือใช้ราคาโจทก์ให้การว่ารถยนต์คันพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ซึ่งมีประเด็นว่ารถยนต์คันพิพาทเป็นทรัพย์มรดกของพลตำรวจตรีท. หรือไม่ การที่โจทก์มาฟ้องคดีนี้ในขณะที่คดีเดิมยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ว่ารถยนต์คันพิพาทโจทก์เป็นเจ้าของร่วมกับพลตำรวจตรีท.ซึ่งจะต้องพิจารณาว่าโจทก์มีสิทธิในทรัพย์มรดกของพลตำรวจตรี ท. ด้วยหรือไม่ อันเป็นประเด็นเดียวกันกับที่ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยมาแล้วในคดีเดิมฟ้องของโจทก์คดีนี้จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 โจทก์ฎีกาเพียงแต่ขอให้ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีใหม่ มิได้ฎีกาขอให้ตนเป็นฝ่ายชนะคดี จึงเป็นคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกา 200 บาท แต่โจทก์เสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาคิดตามจำนวนทุนทรัพย์ จึงต้องคืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาส่วนที่เสียเกินแก่โจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นภริยาของพลตำรวจตรีเทพย์ โดยจดทะเบียนสมรสมีทรัพย์สินที่ร่วมกันทำมาหาได้หลายรายการ รวมทั้งรถยนต์กระบะดัทสันหมายเลขทะเบียน 9ย-1999 กรุงเทพมหานครราคาประมาณ 150,000 บาท ซึ่งมีชื่อของพลตำรวจตรีเทพย์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ จำเลยเป็นผู้จัดการมรดกของพลตำรวจตรีเทพย์ตามคำสั่งศาลชั้นต้น คดีหมายเลขแดงที่ 7668/2530 และได้ใช้สิทธิในฐานะส่วนตัวกับฐานะผู้จัดการมรดกฟ้องโจทก์ต่อศาลชั้นต้น ขอบังคับให้โจทก์ส่งมอบรถยนต์คันดังกล่าวแก่จำเลย หรือใช้ราคาแทนเป็นเงิน150,000 บาท ซึ่งศาลชั้นต้นพิพากษาบังคับโจทก์ตามคำขอของจำเลยเป็นคดีหมายเลขแดงที่ 14010/2531 โจทก์ในฐานะภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของพลตำรวจตรีเทพย์มีกรรมสิทธิ์รวมในรถยนต์คันดังกล่าวครึ่งหนึ่งเป็นเงิน 75,000 บาท ขอบังคับให้จำเลยใช้ราคารถยนต์ดังกล่าวแก่โจทก์ครึ่งหนึ่งเป็นเงิน 75,000 บาท หากจำเลยไม่สามารถชำระได้ก็ให้นำรถยนต์คันดังกล่าวออกขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งกันคนละครึ่ง
จำเลยให้การว่า ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาวินิจฉัยในคดีหมายเลขแดงที่ 14010/2531 ว่า โจทก์ในคดีนี้ไม่ใช่เจ้าของรถยนต์คันพิพาท การที่โจทก์มาฟ้องคดีนี้อีก ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 และ 145 โจทก์ไม่ใช่ภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายของพลตำรวจตรีเทพย์ และไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในรถยนต์คันพิพาท ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา โจทก์แถลงรับว่า คดีหมายเลขแดงที่ 14010/2531ของศาลชั้นต้นอยู่ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าคดีนี้เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำกับคดีหมายเลขแดงที่ 14010/2531ของศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่า ในคดีเดิม คือ คดีหมายเลขแดงที่14010/2531 ของศาลชั้นต้น จำเลยได้ฟ้องโจทก์ในคดีนี้ว่า รถยนต์คันพิพาทเป็นทรัพย์มรดกของพลตำรวจตรีเทพย์ ธีรจันทรานนท์ ขอให้โจทก์คืนรถยนต์คันพิพาทให้จำเลยหรือใช้ราคา โจทก์ให้การว่ารถยนต์คันพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ซึ่งมีประเด็นว่ารถยนต์คันพิพาทเป็นทรัพย์มรดกของพลตำรวจตรีเทพย์หรือไม่ การที่โจทก์มาฟ้องคดีนี้ในขณะที่คดีเดิมยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ว่ารถยนต์คันพิพาทโจทก์เป็นเจ้าของร่วมกับพลตำรวจตรีเทพย์ ซึ่งจะต้องพิจารณาว่าโจทก์มีสิทธิในทรัพย์มรดกของพลตำรวจตรีเทพย์ด้วยหรือไม่ อันเป็นประเด็นเดียวกันกับที่ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยมาแล้วในคดีเดิม ฟ้องของโจทก์คดีนี้จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 144 ส่วนฎีกาโจทก์ที่ว่า ศาลชั้นต้นวินิจฉัยนอกประเด็นนั้นปรากฏว่าคดีนี้จำเลยให้การว่าฟ้องโจทก์ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144, 145 ศาลชั้นต้น จึงได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทว่า คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำหรือเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้อนกับคดีเดิมหรือไม่ ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144จึงไม่เป็นการนอกประเด็นดังที่โจทก์ฎีกา ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามาศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง คดีนี้โจทก์ฎีกาเพียงแต่ขอให้ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีใหม่มิได้ฎีกาขอให้ตนเป็นฝ่ายชนะคดี จึงเป็นคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกา 200 บาทแต่โจทก์เสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาคิดตามจำนวนทุนทรัพย์เป็นเงิน1,875 บาท จึงให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาส่วนที่เสียเกินจำนวน1,675 บาท แก่โจทก์”
พิพากษายืน และให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาส่วนที่เสียเกินแก่โจทก์

Share