คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3089/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย การที่โจทก์ขอออก น.ส. 3 ก.ที่ดินของตนรวมทั้งที่พิพาทโดยโจทก์ไม่ได้ครอบครองที่พิพาทเลยจึงถือไม่ได้ว่าเป็นการแย่งการครอบครอง โจทก์ย่อมจะอ้างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 วรรคแรก มาใช้บังคับหาได้ไม่และเมื่อโจทก์ไม่มีสิทธิในที่พิพาท การที่โจทก์ไปขอออก น.ส.3 ก.จึงเป็นการละเมิดต่อจำเลย ตราบใดที่ น.ส.3 ก. ไม่ถูกเพิกถอนย่อมถือว่าการกระทำละเมิดยังมีอยู่ ฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1จึงไม่ขาดอายุความ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก) เลขที่ 2697 เมื่อประมาณกลางเดือนกรกฎาคม 2532จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันบุกรุกเข้าไปทำนาในที่ดินของโจทก์ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ คิดเป็นเนื้อที่ประมาณ 2 ไร่ 20 ตารางวาอันเป็นการละเมิดต่อโจทก์และแย่งการครอบครองที่ดินของโจทก์ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้พิพากษาว่าโจทก์เป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท ห้ามจำเลยทั้งสองและบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับให้จำเลยทั้งสองชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ นับแต่ปี 2532จนกว่าจำเลยทั้งสองจะหยุดการกระทำละเมิด
จำเลยทั้งสองให้การและฟ้องแย้งว่า นายแดงบิดาของจำเลยที่ 1มีที่ดินอยู่ 1 แปลง เนื้อที่ 40 ไร่เศษ เป็นที่ดินมีหลักฐานแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) ต่อมาในปี 2514 นายแดงได้ขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) ที่ดินดังกล่าวเป็น น.ส.3เลขที่ 89 หลังจากนั้นจำเลยทั้งสองได้ร่วมกับนายแดงครอบครองทำกินตลอดมา เมื่อปี 2517 โจทก์ได้ขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก) ที่ดินของโจทก์ซึ่งอยู่ติดกับที่ดินของนายแดงแปลงดังกล่าวทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือเป็น น.ส.3 ก. เลขที่ 2697ทับที่ดินของนายแดงเป็นเนื้อที่ 2 ไร่ 20 ตารางวา หลังจากนายแดงถึงแก่กรรมแล้ว ประมาณต้นปี 2531 จำเลยที่ 1 ได้ขอรับมรดกที่ดินตาม น.ส.3 เลขที่ 89 ของนายแดงและยื่นคำร้องขอให้เปลี่ยนน.ส.3 เป็น น.ส.3 ก. แต่โจทก์คัดค้าน ขอให้พิพากษาว่าที่ดินตามน.ส.3 เลขที่ 89 เนื้อที่ 40 ไร่ 20 ตารางวา เป็นของจำเลยที่ 1ขอให้เพิกถอน น.ส.3 ก. เลขที่ 2697 เฉพาะส่วนที่โจทก์ออกทับที่ดินของจำเลยที่ 1 เนื้อที่ 2 ไร่ 20 ตารางวา ห้ามโจทก์และบริวารเข้าเกี่ยวข้องอีกต่อไป
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า การขอออก น.ส.3 ก. เลขที่ 2697ของโจทก์นั้นดำเนินไปตามระเบียบและชอบด้วยกฎหมาย เดิมจำเลยทั้งสองได้รับอนุญาตจากโจทก์ให้ทำนาในที่ดินดังกล่าวปีต่อไป แต่เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2531 จำเลยที่ 1 ได้ยื่นคำขอเปลี่ยน น.ส.3เลขที่ 89 ของจำเลยที่ 1 เป็น น.ส.3 ก. และจำเลยที่ 1 ได้นำเจ้าหน้าที่ที่ดินอำเภอ ทำการรังวัดรุกล้ำเอาที่ดินของโจทก์ไปเป็นเนื้อที่ 2 ไร่ 20 ตารางวา โจทก์จึงคัดค้านและห้ามจำเลยเข้าทำกินในที่พิพาทอีกต่อไป จำเลยที่ 1 ไม่ได้ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนที่พิพาทภายใน 1 ปี และไม่ได้ฟ้องขอเพิกถอนการออก น.ส.3 ก. ของโจทก์เสียภายในกำหนด 10 ปี นับแต่วันที่โจทก์ขอออก น.ส.3 ก. ดังกล่าวคดีของจำเลยที่ 1 จึงขาดอายุความ ขอให้พิพากษายกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ และพิพากษาให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 2697 เฉพาะส่วนที่พิพาทที่ทับที่ดินของจำเลยที่ 1 ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 89เป็นจำนวนเนื้อที่ 2 ไร่ 20 ตารางวา กับห้ามโจทก์และบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่พิพาทอีกต่อไป
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้ฟ้องเพื่อเอาคืนที่พิพาทภายใน 1 ปี และไม่ได้ขอเพิกถอนนิติกรรมการออก น.ส.3 ก. ของโจทก์ภายในกำหนด 10 ปี นับแต่วันที่โจทก์ออก น.ส.3 ก. ฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 จึงขาดอายุความแล้ว เห็นว่าในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวนโดยศาลอุทธรณ์ภาค 1 ฟังว่า จำเลยทั้งสองเป็นเจ้าของผู้ครอบครองที่พิพาท ศาลฎีกาเห็นว่าเมื่อที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยทั้งสองการที่โจทก์ขอออก น.ส.3 ก. ที่ดินของตนรวมทั้งที่พิพาทโดยโจทก์ไม่ได้ครอบครองที่พิพาทเลย จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการแย่งการครอบครองโจทก์ย่อมจะอ้างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 วรรคแรกมาใช้บังคับหาได้ไม่ และเมื่อโจทก์ไม่มีสิทธิในที่พิพาท การที่โจทก์ไปขอออก น.ส.3 ก. จึงเป็นการละเมิดต่อจำเลย ตราบใดที่น.ส.3 ก. ไม่ถูกเพิกถอนย่อมถือว่าการกระทำละเมิดยังมีอยู่ฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 จึงไม่ขาดอายุความ
พิพากษายืน

Share