คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2994/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฎีกาจำเลยเป็นฎีกาที่โต้เถียงดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ ในการวินิจฉัยพยานหลักฐานในสำนวน จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง เมื่อที่ดินพิพาทอันเป็นทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกามีราคา 60,000 บาทจึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เดิมโจทก์กับจำเลยที่ 1 เป็นสามีภรรยากันมีสินสมรสที่ดิน 2 แปลง คือที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3) เลขที่ 141/25 และเลขที่ 142/25 เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2517โจทก์กับจำเลยที่ 1 ตกลงแยกกันอยู่ และตกลงจะยกที่ดินสินสมรสทั้งสองแปลงดังกล่าวให้แก่บุตรคนที่ 2 ถึงที่ 5 เมื่อบุตรคนที่ 5บรรลุนิติภาวะแล้ว ในระหว่างที่บุตรคนที่ 5 ยังไม่บรรลุนิติภาวะนั้นโจทก์กับจำเลยที่ 1 จะแยกกันครอบครองที่ดินดังกล่าวไปก่อนโดยให้จำเลยที่ 1 ครอบครองที่ดิน น.ส.3 เลขที่ 141/25 ให้โจทก์ครอบครอง น.ส.3 เลขที่ 142/25 ต่อมาได้หย่ากัน ต่อมาเมื่อบุตรคนที่ 5 บรรลุนิติภาวะแล้ว โจทก์ได้ยกที่ดินที่โจทก์ครอบครองให้แก่บุตรคนที่ 2 ถึงที่ 5 แล้ว แต่จำเลยที่ 1 ไม่ยกที่ดินที่จำเลยที่ 1ครอบครองคือที่ดินพิพาทนี้ให้แก่บุตรคนที่ 2 ถึงที่ 5 ตามที่ตกลงกันและจำเลยที่ 1 ได้ขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ไปโดยก่อนซื้อจำเลยที่ 2 และที่ 3 รู้ถึงข้อตกลงดังกล่าวแล้วขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินพิพาท แล้วให้จำเลยที่ 1 ไปจดทะเบียนยกที่ดินให้แก่บุตรคนที่ 2 ถึงที่ 5ตามสัญญาดังกล่าวหากจำเลยทั้งสามไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาถ้าไม่สามารถดำเนินการดังกล่าวได้ก็ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าที่ดินพิพาทแก่บุตรคนที่ 2 ถึงที่ 5เป็นเงิน 150,000 บาท
จำเลยทั้งสามให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่เคยสัญญาว่าจะยกที่ดินน.ส.3 เลขที่ 141/25 ที่ดินพิพาทให้แก่บุตร และจำเลยที่ 1 ได้ขายที่ดินให้แก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ในราคา 60,000 บาท จำเลยที่ 2และที่ 3 ซื้อที่ดินพิพาทดังกล่าวโดยสุจริต สัญญาที่โจทก์นำมาฟ้องไม่ใช่สัญญาเพื่อบุคคลภายนอก และฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินพิพาทน.ส.3 เลขที่ 141/25 โดยให้จำเลยทั้งสามไปดำเนินการเพิกถอนนิติกรรมดังกล่าว แล้วให้จำเลยที่ 1 โอนที่ดินดังกล่าวให้แก่บุตรต่อไป หากจำเลยทั้งสามไม่ปฏิบัติตาม ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสามแต่ถ้ายังไม่สามารถดำเนินการดังกล่าวได้ก็ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ราคาเป็นเงิน 60,000 บาท
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินแปลงที่จำเลยที่ 1 ตกลงยกให้แก่บุตรตามข้อตกลงเอกสารหมาย จ.4 จำเลยที่ 2 และที่ 3 ทราบดีว่าโจทก์กับจำเลยที่ 1ตกลงในเรื่องทรัพย์สินที่มีอยู่เพื่อยกให้แก่บุตรทั้งสี่แล้วข้ออ้างที่ว่าเข้าใจว่าเป็นคนละแปลงกับที่ดินพิพาทฟังไม่ขึ้นจำเลยทั้งสามฎีกาว่าตามเอกสารหมาย ล.1 ระบุไว้ชัดเจนว่าที่ดินแปลง 5 ไร่นี้ โจทก์ตกลงให้เป็นของจำเลยที่ 1 ส่วนที่ดินที่จะยกให้แก่บุตรทั้งสองแปลงนั้น หมายถึงที่ดิน 11 ไร่ ที่จะย่อยเป็นสองแปลงในภายหลัง และโจทก์ก็ได้ยกที่ดินให้แก่บุตรเพียง6 ไร่เท่านั้น ส่วนที่เหลือโจทก์ยังครอบครองอยู่ จำเลยที่ 2และที่ 3 รับซื้อที่ดินไว้โดยสุจริต เสียค่าตอบแทนโดยไม่รู้ว่าจะทำให้บุตรโจทก์เสียเปรียบ เป็นการโต้เถียงว่าที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินแปลงที่จำเลยที่ 1 ตกลงยกให้แก่บุตรทั้งสี่ และจำเลยที่ 2 และที่ 3 รับซื้อที่ดินพิพาทไว้โดยไม่สุจริตนั้นไม่ถูกต้อง ซึ่งเป็นการโต้เถียงดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ในการวินิจฉัยพยานหลักฐานในสำนวน จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง เมื่อที่ดินพิพาทอันเป็นทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกามีราคา 60,000 บาทจึงเป็นคดีที่ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาท ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกฎีกาของจำเลยทั้งสาม

Share